วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ราชบุรีโหนกระแสทวายโปรเจ็กต์ ราคาที่ดิน"เขตเมือง-สวนผึ้ง"พุ่ง

ราคาที่ดินเมืองราชบุรี-สวนผึ้ง จ่อทะลุไร่ละ 20 ล้านรับกระแสเปิดเออีซี-ทวายโปรเจ็กต์ โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์เริ่มบูม ขณะที่ตลาดอพาร์ตเมนต์มาแรง "บ้าน108" ทุนท้องถิ่นเตรียมลงทุนเพิ่ม 20 ล้าน ผุดอพาร์ตเมนต์เจาะตลาดนักศึกษา คนวัยทำงาน
นายธนัญชัย วัดเอก เจ้าของกิจการอพาร์ตเมนต์บ้าน108 อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดราชบุรีขยายตัวมากขึ้น หลังจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 เนื่องจากราชบุรีเป็นจังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จึงทำให้ประชาชนในจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครปฐม กรุงเทพฯ หนีปัญหาน้ำท่วมเริ่มเข้ามาหาที่อยู่อาศัยแห่งที่ 2 มากขึ้น

ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ของราชบุรีส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มทุนท้องถิ่น 80% และอีก 20% เป็นทุนจากต่างจังหวัด ซึ่งไม่ใช่ทุนจากส่วนกลาง

ซึ่งทำเลหลักที่มีการลงทุนโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม ยังคงอยู่ในพื้นที่อำเภอเมือง และอำเภอรอบนอกในรัศมีประมาณ 3 กิโลเมตร ทำให้ราคาที่ดินในเขตเมืองปรับตัวสูงขึ้นจากไร่ละ 12 ล้านบาท เป็นไร่ละ 16 ล้านบาท ขณะที่ในเขตอำเภอสวนผึ้งจะเป็นกลุ่มทุนจากภาคใต้เข้ามาลงทุนรีสอร์ต

"คาดว่าภายใน 2-3 ปีนี้ และหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และเปิดโครงการทวายโปรเจ็กต์ จะทำให้ทุนท้องถิ่นและทุนจากส่วนกลางเข้ามาลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ในราชบุรีมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมือง และชานเมือง ราคาที่ดินในเขตเมือง และอำเภอสวนผึ้งจะทะลุไร่ละ 20 ล้านอย่างแน่นอน"

สำหรับกิจการอพาร์ตเมนต์ให้เช่านั้น ปัจจุบันในเขตเมืองมีประมาณ 20-30 แห่ง และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องรองรับการขยายตัวของเมือง โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการศึกษาซึ่งมีจำนวนนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ ยังมีการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้มีแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในจังหวัดราชบุรีมากขึ้น

นายธนัญชัยกล่าวอีกว่า ได้ลงทุนสร้างอพาร์ตเมนต์ให้เช่า 1 แห่ง จำนวน 15 ห้อง ค่าเช่าเดือนละ 2,200 บาท อัตราเข้าพักเต็ม 100% และภายใน 2-3 ปีนี้จะลงทุนสร้างเพิ่มอีก 2 แห่งหน้าวิทยาลัยเทคนิคราชบุรี อำเภอเมือง และบริเวณตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมือง ใช้งบฯลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท ลูกค้าเป้าหมายคือ นักศึกษาและคนวัยทำงาน

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อญี่ปุ่นจะสร้างพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก กับโครงการเมืองแห่งโลกอนาคต The Shimizu Mega-City Pyramid



     รายการ "สำรวจโลก" Explorer ช่องรายการสารคดี ๒๔ ชั่วโมงของ Nextstep Television ได้นำเสนอเรื่องราวเชิงเทคโนโลยีและวิศวกรรมตอนหนึ่งซึ่งกล่าวถึงโครงการก่อสร้างที่โตเกียว เห็นแล้วน่าสนใจมาก ทันทีที่ได้ชมรายการนี้จนจบ ผมก็ลงมือเขียนต้นฉบับเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีเลยครับ

     Mercer สถาบันที่ปรึกษาการบริหารที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกาได้ทำการสำรวจเมืองใหญ่ๆของหลายประเทศกว่า ๒๐๐ เมือง จาก ๖ ทวีป โดยตั้งชื่องานวิจัยนี้ว่า "เมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ประจำปี ๒๐๐๙" โดยที่การสำรวจนี้มุ่งเน้นพิจารณาข้อมูลจากค่าใช้จ่ายต่างๆในชีวิตประจำวันกว่า ๒๐๐ รายการ อาทิเช่น ที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายด้านบันเทิง อาหาร เสื้อผ้า และอื่นๆ ซึ่งผลสำรวจที่ออกมาก็พบว่าเมืองที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ ๑ ก็คือ "มหานครโตเกียว"แห่งญี่ปุ่นครับ


ภาพที่ ๑ โตเกียว เมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ประจำปี ๒๐๐๙

     และแน่นอนว่าญี่ปุ่นเองก็เจอและรู้เห็นปัญหานี้มานานก่อนที่ทาง Mercer จะทำการสำรวจเสียอีกเพราะประชากรร้อยละ ๑๐ ของประเทศญี่ปุ่น จำนวนกว่า ๑๒ ล้านคนต่างเข้ามาแออัด ยัดเยียดกันอยู่ที่กรุงโตเกียว ทว่า..เมืองที่เร่งรีบแห่งนี้ก็ยังได้รับความนิยมและถูกเลือกให้เป็น ๑ ใน ๕ เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก! และแม้ว่าระบบขนส่งของที่นี่จะได้รับการพัฒนาเทคโนโลยีความเร็วและระบบการบริหารจัดการให้ดีที่สุดเพียงใดก็ตาม แต่ปัญหาที่คนญี่ปุ่นกำลังประสบพบเจออยู่ ณ ปัจจุบันก็คือ เวลาที่ใช้ไปในการเดินทางนั้นก่อให้เกิดความสูญเสีย(MUDA)และเกิดค่าใช้จ่ายที่ยังมากอยู่ ซึ่งโดยธรรมชาติของคนญี่ปุ่นที่มักจะมีนิสัยชอบการปรับปรุง พัฒนาอะไรต่างๆอยู่เป็นนิจ ดังในคำในภาษาญี่ปุ่นที่เรียกว่า Kaizen (Continuous Improvement) ทำให้มีหลายคนกำลังฝันถึงบางสิ่ง..บางอย่างที่กำลังจะเข้ามาปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึ้นยิ่งกว่านี้

     และนั่นเป็นที่มาของแนวความคิดที่จะสร้าง"เมืองในแนวตั้ง"อย่างกับที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ไซไฟ (Sci-Fi) อย่างเรื่อง The Fifth Element หรือ I-Robot กับสิ่งที่กำลังท้าทายวงการวิศวกรรมที่พวกเขาคิดฝันว่าจะ"ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้"


ภาพที่ ๒ โฉมหน้าของโครงสร้างมหัศจรรย์ที่กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับวงการวิศวกรรม

     Shimizu Group กลุ่มบริษัทออกแบบและก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่รายหนึ่งของญี่ปุ่นได้นำเสนอโครงการ"สุดยอดอภิมหาเมกะโปรเจค" ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาตร์การสร้างเมืองของมนุษยชาติเพื่อมุ่งหน้าสู่โลกแห่งอนาคต ที่มีชื่อว่า "The Shimizu TRY Mega-City Pyramid" ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างเคหะสถานรูปทรงพีระมิดขนาดยักษ์ที่บรรจุเมืองขนาดย่อมๆทั้งเมืองเอาไว้ภายในโครงสร้าง ณ บริเวณอ่าวโตเกียว


ภาพที่ ๓ Concept Design ของมหาพิระมิดแห่งโตเกียว The Shimizu Mega-City Pyramid

      โครงสร้างเบื้องต้นของ Mega-City Pyramid ที่ออกแบบไว้จะสูงกว่าปิรามิดแห่งอียิปต์ ที่เมืองกิซ่าอยากมากมาย โดยความสูงจะอยู่ที่ ๒,๐๐๔ เมตร หรือ ๒ กิโลมตรจากพื้นดิน และอัตราส่วนจะใหญ่โตกว่าถึง ๑๒ เท่าเลยทีเดียว ซึ่งจะมีแนวเส้นรอบวงชั้นฐานของอาคารขนาด ๒,๘๐๐ เมตร หรือมีพื้นที่ประมาณ ๒๕ ตารางกิโลเมตร ซึ่งถ้าหากโครงการนี้มีการก่อสร้างจริงแล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นมาเลยล่ะครับ


ภาพที่ ๔ ลักษณะโครงสร้างของพิระมิดและตำแหน่งพิกัดทางภูมิศาสตร์

ส่วนภายในตัวอาคารจะแยกเป็นสัดส่วน ซึ่งจะประกอบไปด้วย
- พื้นที่สำหรับพักอาศัย ๒๔๐,๐๐๐ ยูนิต เพียงพอสำหรับรองรับประชากรได้ ๗๕๐,๐๐๐ คน
- พื้นที่เชิงพาณิชย์ ๒๔ ตารางกิโลเมตร รองรับคนได้ ๘๐๐,๐๐๐ คน
- พื้นที่สำหรับงานด้านวิจัยและพักผ่อนสันทนาการ ๑๔ ตารางกิโลเมตร
แต่ละอาคารจะมีแหล่งพลังงานของตัวเอง โดยมาจากแหล่งความร้อนของแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอต่อความต้องการของระบบ ดังนั้นไฟฟ้าอีกส่วนที่จ่ายเข้าสู่เมืองพิระมิดแห่งนี้จะมาจากพลังงานจากคลื่นที่อ่าว และการสกัดจากสาหร่ายชนิดหนึ่งที่จะมีพิ้นที่สำหรับสร้างไฟฟ้าที่บริเวณฐานของพิระมิด นอกจากนี้กระจกและพื้นที่บางส่วนของพีระมิดจะถูกเคลือบด้วยฟิล์มที่มีความบางในระดับนาโนเมตรซึ่งบรรจุเซลล์โฟโต้โวลตาอิก (Photovoltaic Cells) เอาไว้เพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงแดดไปเป็นไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นแหล่ง พลังงานหลักของพีระมิดยักษ์แห่งนี้


ภาพที่ ๕ โครงสร้างฐานและตัวอาคาร

     อีกประเด็นที่น่าสนใจของการออกแบบโครงการนี้คือ การเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงมาก จนมีการวิจัยทำวัสดุพิเศษเพื่อมาใช้เสริมให้กับเหล็กกล้าคือ คาร์บอน นาโนทิวส์ (Carbon Nanotubes)ซึ่งเป็นวัสดุที่มีโครงสร้างพื้นฐานของกราไฟท์ จะคล้ายกับโมเลกุลของเพชร และน่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของวงการโลหะการ (Metallurgy)ในปัจจุบัน


ภาพที่ ๖ อาคารและการคมนาคมขนส่งประชากร

     ส่วนการเดินทางภายในตัวอาคาร ได้มีการออกแบบให้ใช้ทางเลื่อนความเร็วสูง(ประมาณ ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และลิฟท์ทางลาด รวมทั้งระบบขนส่งมวลชนภายใน ซึ่งไม่ต้องใช้คนขับ ส่วนพื้นที่สำนักงานและพักอาศัยซึ่งจัดทำเป็นอาคาร ๓๐ ชั้น มีระบบกันสั่นสะเทือนตั้งแต่ชั้นบนลงมาถึงชั้นล่างและยึดติดกับโครงสร้างพีระมิดด้วยเคเบิลทำจากนาโนทิวส์


ภาพที่ ๗ ระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้าพลังงานสะอาด

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยอดเขาเอเวอเรสต์



          คำว่า หิมาลัย (Himalaya) แปลว่า ที่ที่อุดมด้วยหิมะ คือชื่อของเทือกเขายาวและมียอดเขาสูงที่สุดในโลก ชื่อ Chomolungma ซึ่งแปลว่า เทพมารดาของโลกมนุษย์ เทือกเขานี้มีความยาว ๒,๕๐๐ กิโลเมตร และทอดตัวยาวตามแนวพรมแดนระหว่างอินเดียกับปากีสถาน โดยมีอาณาเขตทิศตะวันตกจดแม่น้ำสินธุ (Indus) และทิศตะวันออกจดแม่น้ำพรหมบุตร ทางด้านเหนือของเทือกเขาคือที่ราบสูงทิเบต และบริเวณส่วนกลางของเทือกเขาที่มีความกว้างประมาณ ๒๕๐ กิโลเมตรมียอดเขาสูงและหุบเหวลึกมากมาย
          ในหน้าร้อนเมื่อลมมรสุมพัดจากอ่าวเบงกอลเข้าสู่ลุ่มน้ำคงคา นำฝนสู่บริเวณตอนล่างของอินเดียและหิมะสู่บริเวณตอนเหนือ ทำให้ที่ระดับความสูงกว่า ๔,๕๐๐ เมตร มีหิมะปกคลุมทั้งปี เพราะเทือกเขาหิมาลัยมียอดเขาสูงกว่า ๗๐ ยอด ที่มีความสูงตั้งแต่ ๖,๐๐๐ เมตรขึ้นไป ดังนั้น การไต่เขาและการเดินทางผ่านภูเขาของนักผจญภัยจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก
          ใน พ.ศ. ๒๓๙๕ George Everest ได้เห็นยอดเขาสูงที่มีหิมะปกคลุมไกลไปทางเหนือของเทือกเขา ที่ตำแหน่งเส้นลองติจูด ๘๗˚ E และเส้นละติจูด ๒๘˚ N ตัดกัน เขาได้วัดความสูงของยอดเขานี้ และพบว่ามันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก การวัดความสูงของภูเขาในเวลาต่อมาทำให้เรารู้ว่ามันสูงน้อยกว่า ๙ กิโลเมตรเล็กน้อย จากนั้นใน พ.ศ. ๒๔๐๘ ยอดเขายอดนี้ จึงได้ชื่อว่า ยอดเขา Everest  ตามชื่อของผู้พบและวัดความสูงของมันเป็นครั้งแรก
          เพราะเหตุว่าคนเนปาลและทิเบตไม่ชอบสังคมกับโลกภายนอก ดังนั้น โลกจึงไม่รู้จักเทือกเขาหิมาลัยนี้นัก แต่ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ นั่นเอง เนปาลและทิเบตก็ได้เริ่มเปิดประเทศ นักไต่เขาต่าง ๆ จึงได้มีโอกาสเดินทางไปสำรวจภูเขาลึกลับชื่อหิมาลัยนี้
          ความยากลำบากในการขออนุญาตไต่เขาคือปัญหาหนึ่งที่นักไต่เขาต้องเผชิญ ทั้งนี้เพราะภูเขาหิมาลัยเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวเนปาล ดังนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๖๕ ความพยายามไต่เขาหิมาลัยจึงได้บังเกิดเป็นครั้งแรก แต่ความหนาว ความสูง อาหาร เสื้อผ้า และอุปกรณ์ไต่เขาที่จำเป็นต้องใช้ในการไต่เขา ได้ทำให้นักไต่เขาต้องตัดสินใจว่าจะนำปัจจัยอะไรติดตัวไปบ้าง และในฤดูหนาวเมื่อลมหนาวพัด นักไต่เขาจะต้องระมัดระวังมากในการไต่เขา แต่ในฤดูร้อนเมื่อลมมรสุมพัดถึงบริเวณเทือกเขา ไอน้ำที่มีในลมมรสุมก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นหิมะ ซึ่งมีผลทำให้อันตรายในการไต่เขายังเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เพราะหิมะเหล่านี้จะไม่จับตัวแข็ง แต่จะเป็นหิมะที่ถล่มง่ายเพราะนุ่ม  ซึ่งทำให้การไต่เขาเป็นไปได้อย่างลำบากเช่นกัน ดังนั้น วงการนักไต่เขาจึงมีความเห็นว่า ฤดูไต่เขาที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ
          ปัญหาอีกปัญหาหนึ่งของการไต่เขาที่นักไต่เขาทุกคนต้องคำนึงถึงคือ อิทธิพลความสูงที่มีต่อร่างกาย เมื่อคนเราเดินหรือปีนเข้าสู่ระดับยิ่งสูง ปริมาณออกซิเจนที่มีในอากาศระดับนั้นจะน้อย ดังนั้น ยิ่งสูงก็ยิ่งหายใจยาก อย่างไรก็ตาม ร่างกายมนุษย์สามารถปรับตัวได้ดีในช่วงความสูงที่ต่ำกว่า ๕,๕๐๐ เมตร แต่ที่ระดับความสูง ๕,๕๐๐-๗,๓๐๐ เมตร การปรับตัวของร่างกายแทบจะเป็นไปได้ไม่ง่ายเลย และที่ระดับความสูงกว่า ๗,๓๐๐ เมตร ร่างกายมนุษย์จะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อีกต่อไป ดังนั้น นักไต่เขาจะพบว่ายิ่งขึ้นสูงความอ่อนแอของร่างกายก็ยิ่งมาก และยิ่งอยู่บนยอดเขานานร่างกายของเขาก็ยิ่งเพลีย
          ใน พ.ศ. ๒๔๖๕ ได้มีความพยายามไต่ยอดเขา Everest เป็นครั้งแรก แต่นักไต่เขาก็กระทำได้แค่สำรวจบริเวณรอบ ๆ และประเมินเส้นทางที่ดีที่สุดที่ต้องใช้ในการขึ้นสู่ยอดเขา และก็ได้พบว่าเขาต้องขนเสบียง เต๊นท์ และอุปกรณ์ไต่เขาอย่างครบครันไปบนหลังลาก่อน แต่เมื่อการเดินทางยากลำบากชาว Sherpa ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น จะใช้ม้าและวัว yak ในการขนสัมภาระแทน และเมื่อยอดเขายิ่งชัน นักสำรวจก็ต้องให้ลูกหาบชาว Sherpa ขนสัมภาระแทน
          ในการไต่เขาครั้งที่ ๒ คณะไต่เขาได้ไต่ถึงระดับความสูง ๘,๒๓๐ เมตร และในการไต่เขาครั้งต่อมาสถิติระดับความสูงก็ยิ่งเพิ่ม ใน พ.ศ. ๒๔๖๗ คณะสำรวจซึ่งนำโดย George Mallory วัย ๓๘ ปี และ Andrew Irvine วัย ๒๒ ปีได้ตัดสินใจไต่เขา Everest และในวันที่ ๘ มิถุนายน ของปีนั้นขณะเวลา ๑๒.๕๐ น. คือหลังเที่ยงวันเล็กน้อยนักสำรวจคนอื่น ๆ ได้เห็นนักไต่เขาทั้งสองอยู่ห่างจากยอดเขา Everest ประมาณ ๓๐๐ เมตร และขณะนั้นได้มีเมฆลอยเข้าปกคลุมยอดเขา จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเห็น Mallory และ Irvine อีกเลย
          ปริศนาที่ค้างคาใจคนทุกคนคือคนทั้งสองได้ขึ้นถึงยอดเขา Everest เป็นคณะแรกหรือไม่
          ใน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการพบศพแช่แข็งของ Mallory ที่คว่ำหน้าอยู่บนหิมะ โดยมีไหล่และแขนหัก และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ Eric Simonson แห่งเมือง Ashford ในรัฐ Washington ของสหรัฐอเมริกาได้พบแว่นกันแดด อุปกรณ์วัดความสูง ถุงเท้า ถุงมือ มีดพร้า เชือก ผ้าเช็ดหน้าที่มีอักษรย่อปักว่า GLM รวมถังออกซิเจนของ Mallory ที่ระดับความสูง ๘,๒๐๐ เมตร แต่ไม่พบกล้องถ่ายรูปที่ Irvine พกติดตัว และยังไม่พบศพของ Irvine เลย การขาดหายของหลักฐานกล้องถ่ายรูปนี้ ทำให้นักไต่เขาหลายคนสงสัยว่า คนทั้งสองคงได้ขึ้นถึงยอดเขา และคงได้ถ่ายรูปเป็นหลักฐาน ดังนั้น การพบหลักฐานจะทำให้ Mallory กับ Irvine ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลแรกที่ไต่ยอดเขา Everest สำเร็จ แต่เมื่อยังไม่มีใครเห็นหลักฐานนี้ชื่อของ Mallory และ Irvine จึงต้องคอยการยอมรับ
          ในที่สุด ใน พ.ศ. ๒๔๙๖ Edmund P. Hillary ชาวนิวซีแลนด์ และ Tenzing Norgay ชาวเนปาลเผ่า Sherpa ก็ประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขา Everest สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อเวลา ๑๑.๓๐ น. ของวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ภายใต้การนำของนายพล John Hunt และหลังจากที่ Hillary กับ Tenzing ประสบความสำเร็จแล้ว ก็มีนักสำรวจชาติอื่นประสบความสำเร็จในการพิชิตยอดเขา Everest เมื่อเดือนกันยายนปีนี้ Sherman Bull วัย ๖๔ ปี เป็นชายอายุมากที่สุด ในโลกที่พิชิตเขา Everest ส่วน Babu Chiri ชาวเนปาลเป็นคนที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการไต่เขา และอยู่บนยอดเขา Everest นานที่สุด นักไต่เขาสตรีคนแรกที่พิชิตเขา Everest คือ Junko Tabei ชาวญี่ปุ่น ในปี ๒๕๑๘ ทุกวันนี้มีคนกว่า ๘๐๐ คน ที่ได้ยืนสัมผัสเขา Everest แล้ว และเราเชื่อว่าจำนวนบุคคลพิเศษกลุ่มนี้จะเพิ่มมากขึ้นทุกปีในอนาคต
          ปัญหาความสูงของยอดเขา Everest ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่นักธรณีวิทยาสนใจ เมื่อ ๒ ปีก่อน นักไต่เขา Everest ได้นำอุปกรณ์ที่มีอักษรย่อว่า GPS = Global Positioning System ไปติดตั้งบนยอดเขา อุปกรณ์ที่สามารถรับส่งสัญญาณจากดาวเทียมได้ การรู้เวลาที่สัญญาณเดินทางทำให้นักธรณีวิทยาสามารถบอกตำแหน่งของมันได้แม่นยำ ซึ่งการรู้ตำแหน่งที่ละเอียดจะทำให้นักแผนที่และนักธรณีวิทยาสามารถรู้ความสูงของภูเขาได้ถูกต้องและละเอียดด้วย
          ในการวัดของ George Everest เมื่อ ๒๐๐ ปีก่อน โดยการสังเกตความสูงของยอดเขา จากสถานที่ต่าง ๆ ในอินเดีย ทำให้ได้ความสูงเท่ากับ ๘,๘๔๖ เมตร แต่เมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีมานี้เองเทคโนโลยีการวัดที่ทันสมัยขึ้น ทำให้ได้ความสูงเท่ากับ ๘,๘๘๘ เมตร และเมื่อเนปาลเปิดประเทศ นักสำรวจก็สามารถเดินทางเข้าไปสำรวจใกล้ภูเขาได้ ซึ่งทำให้ระดับความสูงเปลี่ยนไปเป็น ๘,๘๕๔ เมตร แต่เมื่อนักธรณีวิทยาได้พบว่า เปลือกทวีปส่วนนี้มีการเคลื่อนที่ โดยเทือกเขาหิมาลัยทั้งเทือกขยับเคลื่อนเข้าชนผืนแผ่นดินใหญ่ของจีนด้วยความ "เร็ว" ๕ เซนติเมตร/ปี อิทธิพลนี้ทำให้ตำแหน่งของยอดเขา Everest เคลื่อนที่ขึ้นไปทางทิศเหนือตลอดเวลา และเมื่อระดับน้ำทะเลมีการแปรเปลี่ยน ดังนั้น ในการที่จะรู้ความสูงของยอดเขาเหนือระดับน้ำทะเล ความสูงของระดับน้ำทะเลก็เป็นข้อมูลที่สำคัญ
          โครงการวัดความสูงของ Everest ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง Bradford Washburn แห่ง Boston Museum of Science และนักธรณีวิทยาชื่อ Roger Bilham แห่งมหาวิทยาลัย Colorado ที่ Boulder ในสหรัฐอเมริกาจึงเกิด และนักวิชาการทั้งสองก็ได้ใช้อุปกรณ์ GPS อ่านระยะทางที่ยอดเขาสูงอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของโลก  และเมื่อลบด้วยระยะทางที่ระดับน้ำทะเลอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของโลก เขาก็ได้ความสูง ๘,๘๕๕.๖๗ ± ๒.๑๓ เมตร ต้นเหตุความผิดพลาดการวัดนี้มีหลายประการ ได้แก่ การมีหิมะที่หนาปกคลุมยอดเขา ดังนั้น ความสูงของยอดเขาจึงไม่ใช่ความสูงจริง และเมื่อการเคลื่อนที่ของเปลือกทวีปทำให้ยอดเขา Everest มีความสูงเพิ่มขึ้น ๕-๖ มิลลิเมตร/ปี เราจึงรู้ความสูงนี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
          ปัญหาความสูงมิใช่เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาเดียวที่ Everest กำลังสร้างปัญหาขยะที่มีผู้ทิ้งเกลื่อนกลาด ตามบริเวณภูเขาก็เป็นปัญหาที่หนักอกหนักใจนักนิเวศวิทยามาก เพราะเมื่อ ๕ ปีก่อนนี้เองโครงการกำจัดขยะเก็บขยะในบริเวณยอดเขา Everest ได้ ๙ ตันจาก ๒๑ ตันที่มี ดังนั้น รัฐบาลเนปาลจึงได้เก็บเงินค่าไต่เขาคณะละ ๑๘๐,๐๐๐ บาท เพื่อว่าจ้างคนเนปาลให้ทำหน้าที่เป็นลูกหาบนำขยะ อันได้แก่ อุปกรณ์ไต่เขาที่ชำรุด เศษอาหาร ถังออกซิเจนที่ใช้แล้ว บันไดอะลูมิเนียม เชือก และแม้กระทั่งศพไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง แต่การเก็บเงินค่าไต่เขามากเช่นนี้ ก็ทำให้นักไต่เขาหลายคนคิดว่าแพง
          ถึงกระนั้นก็คงไม่มีใครคิดว่า เงินที่เสียไปคือการซื้ออิสรภาพที่จะทิ้งปฏิกูลได้ตามอำเภอใจ


แหล่งที่มาข้อมูล : http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=909

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เตือน 30 จังหวัดเสี่ยง ให้เตรียมพร้อมรับมือพายุแกมี



หลังพัดผ่านเวียดนาม-ลาวในช่วงวันที่ 6-7ต.คนี้ ขณะที่ผู้ว่าฯ มั่นใจ กทม.ระบายน้ำทัน แม้จะมีฝนหนักจากอิทธิพลของพายุ
จากกรณีที่กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเตือนให้ไทยเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันจากปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักในช่วงวันที่ 6 -7 ตุลาคม หลังได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุแกมี ที่จะพัดพาดผ่านเวียดนามและลาวในช่วงวันและเวลาดังกล่าวนั้น
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ก็ได้แจ้งประกาศเตือนเพิ่มเติมให้ 30จังหวัดจุดเสี่ยง ที่ลาดเชิงเขา ที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ทางน้ำไหลผ่าน อาทิเช่น ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ สุพรรณบุรี กาญจนบุรี นครปฐม ราชบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว นครนายก ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ชลบุรี ระยอง ตราด ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง ระนอง และสตูล
ให้เตรียมความพร้อมกับสถานการณ์ฝนตกหนักที่จะทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของประชาชนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดด้วย
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็ได้กล่าวถึงการเตรียมพร้อมรับมือกับพายุแกมีว่า ในวันนี้ (3 ต.ค.) จะเรียกประชุมผู้อำนวยการเขตทั้ง50เขตเข้าหารือ พร้อมทั้งเร่งผันน้ำในคลองต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือน้ำฝนที่เกิดจากพายุแกมี

แหล่งที่มาข้อมูล : http://news.mthai.com/headline-news/194632.html

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

สาวจีนสวมชุดลายเสือเซ็กซี่ ชูป้ายรับจ้างเป็นแฟน

สาวจีน,ประกาศหาแฟน


MThai News: เว็บไซต์ข่าวของจีน รายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.ของวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา บนถนนเจียงฮั่น บริเวณจตุรัสเป่าลี่จินของเมืองอู่ฮั่น มีหญิงสาวแต่งชุดลายเสือสุดเซ็กซี่ สวมรองเทาส้นสูงยืนชูป้ายรับจ้างเป็นแฟนสาว ให้ชายหนุ่มซึ่งต้องเป็นคนจีนเท่านั้นพากลับบ้านในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ได้
ทั้งนี้ การปรากฏตัวของเธอสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนแถวนั้นจนมีคนโทรศัพท์แจ้งตำรวจ จากการสอบสวนสาวคนนี้อายุ 21 ปี เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น แต่เธอไม่ยอมบอกสาเหตุที่ออกมาแต่งกายเซ็กซี่ชูป้ายประกาศรับจ้างเป็นแฟน ท้ายที่สุดผู้ปกครองก็มารับตัวกลับบ้านไป
อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างวิจาร์ณถึงเธอทั้งในแง่ดีและแง่ลบว่า เธอมีความกล้าที่แต่งกายแบบนี้ ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ขณะที่คนบางกลุ่มบอกว่าเธอแต่งกายยั่วยวนเกินงาม

แหล่งที่มาข้อมูล : http://news.mthai.com/world-news/192835.html

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ทางรถไฟสายเหนือถูกน้ำป่ากัดเซาะ




            เกิดเหตุน้ำป่าทะลักท่วมในหลายจังหวัดภาคเหนือ ทำให้รถไฟสายเหนือต้องหยุดชะงัก เพราะถูกกระแสน้ำกัดเซาะรางเสียหายที่ดอยขุนตาล
            ฝนที่ตกหนักส่งผลให้น้ำป่าไหลทะลักลงมาจากดอยขุนตาล และกัดเซาะรางรถไฟบริเวณบ้านขุนตาล หมู่ที่ 8 ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ทำให้ดินใต้รางรถไฟเป็นร่องลึกลงไปกว่า 50 เมตร เป็นรายะทางยาว 30 เมตร ทำให้ทางการรถไฟต้องหยุดเดินถึงแค่สถานีรถไฟลำปาง จนกว่าการซ่อมแซมรางรถไฟจะแล้วเสร็จคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 3 วัน จึงจะสามารถเปิดเดินรถถึงสถานีลำพูนและเชียงใหม่ได้ตามปกติ  นอกจากนี้กระแสน้ำป่ายังกัดเซาะถนนเข้าสู่อุทยานแห่งชาติขุนตาลเสียหายอีกด้วย
           ส่วนที่จังหวัดลำปาง น้ำป่าจากลำน้ำแม่มอญและลำห้วยแม่กา ได้ล้นตลิ่งเข้าท่วม 2 หมู่บ้านในตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน พร้อมพัดพาดินโคลนเข้าทับถมในบ้านเรือนราษฎร โดยเฉพาะที่โรงเรียนบ้านหลวงแจ้ซ้อน ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร อาคารเรียน ห้องสมุดและห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ถูกน้ำท่วมเสียหายทั้งหมด เนื่องจากกระแสน้ำมาเร็ว จึงไม่สามารถขนย้ายสิ่งของได้ทัน
          ที่จังหวัดเชียงใหม่ น้ำในแม่น้ำขาน เอ่อล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฏรในหมู่บ้านทุ่งแป้ง หมู่ 2 ตำบลท่าวังพร้าว อำเภอสันป่าตอง ในที่ลุ่มถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร นอกจากนี้ กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ยังได้พัดสะพานชั่วคราวที่สร้างขึ้นเพื่อใช้สัญจรไปมาระหว่างบ้านทุ่งแป้ง กับบ้านต้นแหนหลวงขาด ขณะที่ทางเทศบาลตำบลบ้านกลาง ได้นำกระสอบทรายแจกจ่าย เพื่อกั้นไม่ให้น้ำไหลทะลักเข้าบ้านเรือน
          ขณะที่นายเชษฐา  โมสิกรัตน์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ออกประกาศเตือนให้พื้นที่เสี่ยงภัยน้ำป่าและดินถล่ม ในอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สรวย แม่จัน แม่สาย และอำเภอเวียงแก่น เฝ้าระวังการเกิดน้ำป่าและดินโคลนถล่มฉับพลัน เพราะดินภูเขาอุ้มน้ำจนอิ่มตัวแล้ว  
        ขณะเดียวกันกำลังพลจากจังหวัดทหารบกสุรินทร์ เข้าช่วยวางแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำทะลักเข้าบ้านพักประชาชนในหมู่บ้านญาดาวิลเลจ เขตเทศบาลตำบลสังขะ อำเภอสังขะ หลังเกิดฝนตกหนัก ส่งผลให้น้ำท่วมขังสูงกว่า 30 เซนติเมตร รถเล็กไม่สามารถเข้า-ออกในหมู่บ้านได้ อย่างไรก็ตาม พลตรี นิรุทธ์   เกตุสิริ ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสุรินทร์ ได้สั่งการให้นำรถบรรทุกทหารขนาดใหญ่ เข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน เพื่ออำนวยความสะดวก พร้อมนำเรือท้องแบนเข้าประจำการในจุดน้ำท่วมอีกหลายหมู่บ้าน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้
            ส่วนกำลังทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 2 และทหารหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 55  สำนักงานพัฒนาภาค 5 กองบัญชาการกองทัพไทย  นำกระสอบทราย พร้อมรถบรรทุก เข้าไปช่วยเหลือสร้างแนวกั้นทางน้ำไหล ช่วยเหลือประชาชน ที่บ้านสระโพนทอง หมู่ 5 บ้านโนนโก หมู่ 6 และบ้านโนนมะเยา หมู่ 9 ตำบลสระโนทอง หลังจากเขื่อนช่องพันลำ อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ถูกแรงน้ำที่ไหลลง จากเทือกเขาภูแลนคา พัดสันดินขาดยาวกว่า 3 เมตรพังทลาย ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน กว่า 180 ครัวเรือน และพื้นที่ทางการเกษตรอีกกว่า 5,000 ไร่

แหล่งที่มาข้อมูล : http://www.tv5.co.th/news/show2.php?id=11070

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

Fjord(ฟยอร์ด)…ความงามและมรดกจากน้ำแข็ง


ฟยอร์ด คือ บริเวณทางภูมิศาสตร์ของช่องทางน้ำที่ยาวและแคบที่ถูกประกบไปด้วยริมฝั่งที่สูงชันอันเกิดจากกิจกรรมของธารน้ำแข็ง

  ฟยอร์ด  เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งบนที่ราบหุบเขาที่มีชั้นหินแข็งโดยรอบ  โดยที่ราบหุบเขา (Valley) โดยส่วนมากนั้นมักจะเกิดตั้งแต่ในยุคน้ำแข็งที่ผ่านมา การละลายของธารน้ำแข็งร่วมกับการเด้งตัวกลับของเปลือกโลกเนื่องจากการหายไปของน้ำแข็งและตะกอนจำนวนมาก(ในทางธรณีวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Isostasy) ซึ่งการเด้งตัวกลับของเปลือกโลกเกิดจากการที่น้ำหนักจำนวนมากกดทับบริเวณ หนึ่งของเปลือกโลกจนเกิดการยุบตัวและเมื่อตำแหน่งของน้ำหนักย้ายหรือหายไป ตำแหน่งที่ผิวโลกยุบตัวลงก็จะเด้งกลับอย่างช้าๆ โดยการเด้งกลับนี้บางกรณี มีความเร็วยิ่งกว่าระดับที่สูงขึ้นเสียอีก(ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเนื่องจากโลกพ้นจากยุคน้ำแข็ง) โดยส่วนมากใต้พื้นน้ำของFjord จะต่ำกว่าพื้นทะเลที่ติดกับมัน ตัวอย่างเช่น Sognefjord ในนอร์เวย์มีความลึกสุดอยู่ที่ ๑,๓๐๘ เมตร หรือ ๔,๒๖๕ ฟุต ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว
ฟยอร์ด( Fjord) อาจจะเป็นคำที่คนไทยเราไม่คุ้นเคยกันมากนัก เป็นลักษณะทางธรณีวิทยาหรือภูมิศาสตร์ของโลกที่เราอาศัยอยู่อีกประเภทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในบางประเทศ
ภาพ : จะเห็นในกรอบสี่เหลียมเมื่อก่อนเป็นแถบภูเขาสูงแล้วโดนน้ำแข็งปกคลุมกัดกร่อนจนเเผ่นดินเว้าแหว่งเกิดเป็นอ่าวแบบฟยอร์ด
โดยปกติแล้วบริเวณFjord มักจะพบ ชั้นแนวตั้งของเปลือกโลก(Sill) หรือแนวดินหรือหินที่สูงชันบริเวณปากลำน้ำซึ่งเกิดมากจาก terminal moraine ของธารน้ำแข็งที่เคยเกิดขึ้นบริเวณนั้น(terminal moraine คือ แนวดินหรือหินที่เป็นเหมือนสันเขื่อน ซึ่งเกิดจากการพัดพามารวมกันที่จุดปลายสุดของการไหล ในที่นี้คือสันกั้นธารน้ำแข็ง ที่เกิดจากการไหลของธารน้ำแข็งเอง) ในหลายกรณีมักทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวกราก หรือกระแสน้ำเค็มขนาดใหญ่ขึ้นด้วย โดยตัวอย่างคือ Saltstraumen ในนอร์เวย์มักจะถูกยกว่ากระแสน้ำขึ้นน้ำลงที่รุนแรงที่สุดในโลก

      …..เนื่องจากภาคเหนือของทวีปยุโรปเคยมีน้ำแข็ง ปกคลุมมาก่อนในสมัยน้ำแข็ง จึงมีร่องรอยการกัดเซาะและการทับถมของเขตหินเก่าภาคตะวันตกเฉียงเหนืออัน ประกอบด้วยเทือกเขาที่มีอายุเก่าแก่ โดยเกิดจากการกระทำของธารน้ำแข็ง ลักษณะภูมิประเทศแบบนี้ เรียกว่า ฟยอร์ด
พบมากในแถวประเทศสแกนดิเนเวีย เช่นนอร์เวย์ สก๊อตแลนด์ และที่ นิวซีแลนด์ โดยเฉพาะที่นอร์เวย์ ซึ่งได้รับสมญาว่า ‘ราชินีแห่ง ฟยอร์ด’

ฟยอร์ด( Fjord ) หรือถ้าให้แปลเป็นไทยเรียกง่ายๆ ว่าอ่าวแคบๆ ที่เกิดขึ้นจากธารน้ำแข็งกัดกร่อนจนแผ่นดินเว้าแหว่งลึกเข้าไปพอน้ำแข็งละลายก็กลายเป็นผืนน้ำแคบๆ
ลักษณะอ่าวแบบฟยอร์ด —– อ่าวแบบฟยอร์ดจะมีลักษณะยาว แคบ เป็นพื้นที่สูงชันสูงเหมือนหน้าผาอยู่รอบข้าง เกิดจาการกัดกร่อนของธารน้ำแข็งมานาน ประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องฟยอร์ดก็คือนอรเวย์  เพราะภูมิประเทศของนอร์เวย์จะเป็นแบบฟยอร์ดเยอะและหลายๆฟยอร์ดที่สวยที่สุด ยาวที่สุด ในโลกก็อยู่ที่ นอร์เวย์
แหล่งที่มาข้อมูล : http://www.rakkhaoyai.com/wild-friends/1488