วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ภาวะโลกร้อน



ภาวะโลกร้อนคืออะไร อะไรคือสาเหตุของการภาวะโลกร้อน 
ภาวะโลกร้อน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ที่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น เราจึงเรียกว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming) กิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน คือ กิจกรรมที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยตรง เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง และ การเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยทางอ้อม คือ การตัดไม้ทำลายป่า
ปรากฏการณ์เรือนกระจก หมายถึง การที่ชั้นบรรยากาศของโลกกระทำตัวเสมือนกระจกที่ยอมให้รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ผ่านทะลุลงมายังผิวพื้นโลกได้ แต่จะดูดกลืนรังสีคลื่นยาวที่โลกคายออกไปไม่ให้หลุดออกนอกบรรยากาศ ทำให้โลกไม่เย็นจัดในเวลากลางคืน บรรยากาศเปรียบเสมือนผ้าห่มผืนใหญ่ที่คลุมโลกไว้ ก๊าซที่ยอมให้รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ผ่านทะลุลงมาได้แต่ไม่ยอมให้รังสีคลื่นยาวที่โลกคายออกไปหลุดออกนอกบรรยากาศ เรียกว่า ก๊าซเรือนกระจก
ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญๆ มีอะไรบ้าง แต่ละชนิดมีที่มาอย่างไร 
ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทนและก๊าซไนตรัสออกไซด์
1. 
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดจาก การเผาไหม้เชื้อเพลิง โรงงานอุตสาหกรรม และการตัดไม้ทำลายป่า
2. 
ก๊าซมีเทน เกิดจาก การย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ที่มีน้ำขัง เช่น นาข้าว
3. 
ก๊าซไนตรัสออกไซด์ เกิดจาก อุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในกระบวนการผลิต และการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในการเกษตรกรรม
รู้ได้อย่างไรว่าโลกร้อนขึ้น และในอนาคตอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้นกี่องศาเซลเซียส 
จากการเฝ้าติดตามความผันแปรของอุณหภูมิโลก พบว่า ในระยะ 10 ปี สุดท้าย พ.ศ. 2539 – 2548 เป็นช่วงที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกร้อนที่สุด หากไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะยับยั้งการปล่อยออกก๊าซเรือนกระจกแล้ว คาดว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มสูงขึ้น 1.5-4.5 องศาเซลเซียส ภายในปี ค.ศ. 2100ภาวะโลกร้อนส่งผลต่อประเทศไทยอย่างไร 
จากความผันแปรของภูมิอากาศมีผลต่อลักษณะอากาศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยก็มีสัญญาณที่บ่งบอกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น นั่นคือ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้พบว่า อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2549 ซึ่งอยู่ในช่วงต้นฤดูหนาวสูงกว่าปกติ 1.7 องศาเซลเซียส สูงสุดเป็นอันดับ ในรอบ 56 ปี ของประเทศ และในเดือนธันวาคม 2549 อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติประมาณ องศาเซลเซียส (อุณหภูมิเฉลี่ย 24 องศาเซลเซียส)
ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีสภาพอากาศเป็นอย่างไร 
จากการศึกษาข้อมูล 54 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2494 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มมีการตรวจวัดข้อมูล พบว่า อุณหภูมิของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งอุณหภูมิเฉลี่ย (รูปที่ 1) อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย(รูปที่ 2) และอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย(รูปที่ 3) ส่วนปริมาณฝนและวันที่ฝนตกมีแนวโน้มลดลง (รูปที่ และ5) ถึงแม้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาทั้งปริมาณฝนและจำนวนวันฝนตกอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าค่าปกติ มากกว่าที่จะต่ำกว่าปกติก็ตาม
ในปี 2550 นี้ โลกและประเทศไทย มีสภาพอากาศเป็นอย่างไร 
การเพิ่มขึ้นของก๊าชเรือนกระจกทำให้บรรยากาศโลกกักเก็บพลังงานความร้อนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความสมดุลของพลังงานโลกเปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิเฉลี่ยของบรรยากาศบริเวณผิวโลกสูงขึ้น คลื่นความร้อนเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องนานัปการ เช่น ฤดูกาล ปริมาณและการกระจายของน้ำฝนเปลี่ยนแปลงไป ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำทะเลขยายตัว เนื่องจากอุณหภูมิสูงขึ้น เกิดพายุและภัยพิบัติรุนแรงและถี่ขึ้น ในปี 2550 สภาพอากาศทั่วไปของโลก มีการคาดการณ์ไว้ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นทำให้มีอากาศร้อนจัดอีกปีหนึ่ง
สำหรับประเทศไทยในปี 2550 คาดว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยจะมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝน และฤดูฝนจะมาเร็วกว่าปกติ และในช่วงฤดูร้อนจะมีอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่ ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศจะสูงกว่าค่าปกติโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี
หากไม่มีการช่วยกันแก้ไขปัญหาโลกร้อนในวันนี้ ในอนาคตจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร 
1. 
ทำให้ฤดูกาลของฝนเปลี่ยนแปลงไป กระบวนการระเหยและการกลั่นตัวจะเร็วขึ้น หมายถึงว่า ฝนอาจจะตกบ่อยขึ้น แต่น้ำจะระเหยเร็วขึ้นด้วย ทำให้ดินแห้งเร็วกว่าปกติในช่วงฤดูกาลเพาะปลูก
2. 
ผลผลิตทางการเกษตรจะลดลง นอกจากผลกระทบโดยตรงจากอุณหภูมิ ฝน ช่วงระยะเวลาฤดูกาลเพาะปลูกแล้ว ยังเกิดจากผลกระทบทางอ้อมอีกด้วย คือ การระบาดของโรคพืช ศัตรูพืชและวัชพืช
3. 
สัตว์น้ำจะอพยพไปตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิน้ำทะเล แหล่งประมงที่สำคัญๆของโลกจะเปลี่ยนแปลงไป
4. 
มนุษย์จะเสียชีวิตเนื่องจากความร้อนมากขึ้น ตัวนำเชื้อโรคในเขตร้อนเพิ่มมากขึ้น ปัญหาภาวะมลพิษทางอากาศภายในเมืองจะรุนแรงมากขึ้น
คนไทยสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร 
เพื่อไม่ให้ประชากรโลกรวมทั้งประเทศไทยได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ จึงควรให้ความร่วมมือในการรักษาสมดุลทางธรรมชาติให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน ตามมาตรการดังต่อไปนี้

1. 
ร่วมกันใช้ก๊าซธรรมชาติแทนถ่านหินและน้ำมันในกระบวนการผลิตและการขนส่งต่างๆ เพื่อลดปริมาณการปล่อยออกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลง
2. 
ใช้พลังงานทดแทน เช่น จากแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล
3. 
รักษาป่าที่มีอยู่ให้คงอยู่ต่อไป ฟื้นฟูสภาพป่าที่เสื่อมโทรม ปลูกป่าเพิ่มเติม
4. 
ศึกษาและปรับปรุงวิธีการใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมกับชนิดของพืช
5. 
ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมและครัวเรือน
6. 
เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการคมนาคม ซึ่งอาจทำได้โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ทดแทนเชื้อเพลิง หรือปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ เป็นต้น



ข้อมูลจาก : กลุ่มวิชาการภูมิอากาศ สำนักพัฒนาอุตุนิยมวิทยา กรมอุตุนิยมวิทยา
http://www.tmd.go.th/NCCT/index.php

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

"คริสตัลไบโอพลาสติก" ปลูกง่าย ไอเดียรักษ์โลก



 UploadImage
ไบโอพลาสติก วัสดุตั้งต้นในการคิดค้นผลิตภัณฑ์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

 
"ไบโอพลาสติก" อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นเคยในบ้านเรามากนัก เนื่องจากการรณรงค์ลดโลกร้อนในสังคมไทยยังวนเวียนอยู่ที่คำว่า ลดใช้ถุงพลาสติก หันมาใช้ถุงผ้าแทน การแยกขยะ การใช้พลังงานทางเลือก หรือการประหยัดน้ำประหยัดไฟ น้อยคนจะทราบว่าในปัจจุบันนี้มีพลาสติกที่สามารถย่อยสลายเองตามธรรมชาติได้แล้ว แถมเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กำลังจะเป็นเทรนใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
      
นักอนุรักษ์ธรรมชาติตัวยงอย่างสาว "พลอย" ณัฐกานต์ สุรเดช นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์ คณะศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต จึงมีแนวคิดที่จะนำวัสดุอินเทรนที่ไม่สร้างมลพิษให้สิ่งแวดล้อมชนิดนี้ มาผลิตเป็นอุปกรณ์ปลูกต้นไม้เอาใจคนสมัยใหม่หัวใจรักษ์โลก ที่สามารถปลูกเองได้ง่ายๆ แม้จะเป็นคนที่ไม่เคยหยิบกระถาง หรือส้อมพรวนดินเลย
      
"เราเห็นว่าภาวะโลกร้อนตอนนี้มันรุนแรงมากขึ้น จึงอยากจะรณรงค์ให้วัยรุ่นหรือกลุ่มคนที่ปลูกต้นไม้ไม่เป็น หันมาปลูกต้นไม้ได้ง่ายๆ ซึ่งตรงนี้จะส่งผลให้เราปลูกต้นไม้กันได้มากขึ้น ก็เลยคิดผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกต้นไม้ที่อำนวยความสะดวกให้กลุ่มคนสมัยใหม่ โดยตัวผลิตภัณฑ์จะอกอแบบมาคล้ายๆกับคริสตัล และด้วยฟอร์มแบบนี้มันจะสัมพันธ์กับฟังก์ชันการทำงานของอุปกรณ์ชิ้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลูกและเรื่องการใช้งานค่ะ ส่วนขนาดก็ทำให้มีขนาดเล็กกะทัดรัดเพื่อให้มันสามารถพกพาได้ ตัววัสดุเป็นไบโอพลาสติกค่ะ ซึ่งสามารถย่อยสลายได้100%"


UploadImage  
ผลิตภัณฑ์สำหรับปลูกต้นไม้ได้ง่ายๆ ที่ออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายคริสตัล


สาวพลอยอธิบายอีกว่า ตัวผลิตภัณฑ์เธอออกแบบมาเป็น 3 รูปแบบ คือ 1. แบบสีเขียว รูปทรงสามเหลี่ยม มีลักษณะคล้ายใบไม้ จึงนำฟอร์มที่คล้ายใบไม้นี้ มาคิดไอเดียแยกเป็นประเภทว่าให้เหมาะกับการปลูกไม้ประดับ โดยใช้สีเขียวเป็นตัวสื่อความหมาย 2. แบบสีฟ้า รูปทรงสี่เหลี่ยม ด้วยฟอร์มสี่เหลี่ยมนี้ให้ความหมายถึง ปัจจัย 4 ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ หรืออาหารนั่นเอง จึงจัดให้เหมาะสำหรับปลูกพืชผักสวนครัว และสีฟ้ายังหมายถึงความปลอดภัยอีกด้วย และ 3. แบบสีชมพู รูปห้าเหลี่ยม ฟอร์มมีลักษณะคล้ายกลีบดอกไม้ที่บานออกมา จึงให้ไอเดียแทนค่าความสดใส จัดให้เป็นประเภทที่เหมาะกับการปลูกไม้ดอก
      
"ที่เลือกใช้ไบโอพลาสติกมาทำชิ้นงาน เพราะ สามารถย่อยสลายได้ 100% แต่มีปัญหาเรื่องระยะเวลาในการย่อยสลาย พอเราใช้เป็นไบโอพลาสติกที่ใช้การฉีดขึ้นรูป มันจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการย่อยสลาย เราก็เลยอยากให้มันย่อยได้เร็วขึ้น จึงออกแบบให้ด้านบนของชิ้นงานติดเชือก เพื่อรูดดึงให้ตัวผลิตภัณฑ์แตกออกเวลาเอาต้นอ่อนลงดิน เพื่อให้รากต้นไม้งอกออกมาได้เร็วขึ้น และด้านบนทำให้มีลักษณะแหลมๆ เพื่อให้สามารถปักลงดินได้ง่ายโดยไม่ต้องขุดดินให้เลอะมือค่ะ"


UploadImage
ขั้นตอนการเพาะเมล็ดพืชจนงอกเป็นต้นอ่อนภายในคริสตัล

 
ผลงานนี้ นับว่าเป็นเทรนใหม่ที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ปลูกต้นไม้ไม่เป็นให้สามารถใช้งานได้ง่ายๆ ในครั้งแรกที่ซื้อผลิตภัณฑ์นี้ไป โดยใส่น้ำในครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นใส่เมล็ดพืช ปิดฝา ไอน้ำจะระเหยขึ้นไปอยู่ที่ส่วนปลาย ทำให้ไม่ต้องรดน้ำหลายรอบ ส่วนเรื่องของการงอก พลอยยืนยันว่าพืชจะงอกได้เร็วกว่าการเพาะเมล็ดแบบทั่วไป ภายใน 1 สัปดาห์ (จากเดิมการเพาะจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์) จากนั้นก็ทิ้งระยะให้ต้นอ่อนโตขึ้นเรื่อยๆ จนความสูงของยอดอ่อนยาวถึงปลายแหลมของผลิตภัณฑ์ จากนั้นนำไปลงดิน


UploadImage
ขั้นตอนการนำต้นอ่อนลงดิน โดยใช้ด้านแหลมของคริสตัลปักลงดิน


"กลับด้านยอดแหลมของผลิตภัณฑ์คว่ำลง เพื่อใช้ส่วนแหลมๆนั้นปักลงดิน ถ้าดินแข็งสามารถเหยียบลงได้ เพราะเราขึ้นรูปด้วยการฉีด มันจึงมีความแข็งแรงทนทาน ตรงนี้จะลดแรงของการขุดดินและพรวนดิน แล้วหยิบส่วนที่เป็นรูปทรง(สามเหลี่ยม/สี่เหลี่ยม/ห้าเหลี่ยม) วางลงไปตรงช่องว่างที่เราปักชิ้นส่วนแหลมลงไปก่อนหน้านี้จากนั้นก็รดน้ำ และดูแลตามปกติค่ะ" นักสร้างสรรค์ผลงานอธิบาย


UploadImage
"พลอย" ณัฐกานต์ สุรเดช นักออกแบบและอนุรักษ์ตัวยง

 
และในฐานะที่พลอย เป็น Young designer เธอมองว่าพลังสร้างสรรค์ของเยาวชนไทยสามารถที่จะออกแบบผลงานที่จะช่วยเหลือสังคม สิ่งแวดล้อมหรือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยการที่ออกแบบให้มันง่ายๆ เพื่อที่คนจะได้ใช้มันได้ง่าย ถ้าไม่มีกิจกรรมปล่อยเด็กเปล่งแสดงของTCDCครั้งนี้ ก็จะไม่มีโอกาสที่คนภายนอกจะได้เห็นว่า งานเราออกมาเป็นแบบนี้ ได้เห็นว่าไอเดียจากเด็กๆมันสามารถเป็นไปได้จริง คือ งานแบบนี้มีประโยชน์อย่างมากกับเด็กไทย      
"ไอเดียของเด็กๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปโชว์ในเวทีใหญ่ๆหรือบริษัทชื่อดัง ด้วยความที่เพิ่งจบ อาจจะยังไม่มีประสบการณ์ หรือผู้ใหญ่อาจจะมองว่ายังไม่ค่อยมีความรู้ แต่เรามองว่า ไม่ว่าจะจบมาจากที่ไหน ในระดับอะไร ถ้าเราสามารถคิดงานออกมาได้ดี มันสามารถที่จะช่วยประเทศในแง่อุตสาหกรรมการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้แน่นอน ถ้าใครมีไอเดียดีๆก็อยากให้เอามาจัดแสดงในงานต่างๆ หรือ ออกสื่อต่างๆเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ จุดนั้นอาจจะทำให้สังคมเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็ได้ค่ะ" พลอยกล่าวทิ้งท้าย


Credit : ผู้จัดการออนไลน์
 

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อีสานคลาสสิก และ 8 สุดยอดแห่งที่ราบสูงอีสาน




อีสานคลาสสิก และ 8 สุดยอดแห่งที่ราบสูงอีสาน (อ.ส.ท.)
โดย อภินันท์ บัวหภักดี

          อีสานวันนี้ แม้หลายสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก แต่อีกสานก็ไม่เคยฮ่างอีสานที่เหมือนจะเซาซึม วันนี้กลับกลายเป็นแผ่นดินที่ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจ ยิ่งในยุคที่โลกร้อนและอาหารแพง อีสารกลับเป็นดินแดนแห่งข้าวหอมมะลิ และกำลังจะชุ่มน้ำด้วยอภิมหาโครงการใหญ่ยักษ์หลายโครงการ แต่เหนืออื่นใด อีสานนี้แหละที่จะเป็นดินแดนหน้าบ้านของประเทศไทยในการออกไปรับหน้ากับการเติบโตของอุษาคเนย์ ที่กำลังพัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรีบรุด

          วันนี้คนอีสานนับแสนภาคภูมิใจกับความเป็นแผ่นดินผืนที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศ การมีประชากรมากที่สุดของประเทศ มีผู้แทนราษฎรจำนวนมากที่สุด และมีเมืองใหญ่ๆ ที่ใหญ่โตจริงๆ ทัดเทียมกันมากมายหลายเมืองด้วยกันผู้คนอีสานวันนี้ทำมาหากินขยันขันแข็ง กำลังงานวันก่อนที่ค่อยเริ่มสร้างบ้านแปลงเมืองเคยออกไปไขว่คว้าหาประสบการณ์ต่างบ้าน ไม่เพียงไปในเมือง ในจังหวัดกรุงเทพฯ หรือประเทศไทย แต่บุกบั่นไกลไปทั่วโลก มาถึงวันนี้ได้นำเข้าอารยธรรมความเจริญ เงินตราความรู้ความคิดใหม่ๆ กลับมาพัฒนามาตุภูมิอย่างมีคุณค่าอเนกอนันต์


          และเช่นเดียวกัน ในด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และความสวยงามตามธรรมชาติ อีสารก็มีสิ่งดีๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และเป็นความยิ่งใหญ่ ไม่เฉพาะเพียงของอีสาน หากยังเป็นเอกลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของประเทศด้วยในขณะเดียวกันอีกหลายแง่หลายมุม
         
          "เมืองนี้ ดินดำน้ำชุม ปากุ่มบ้อน คือแข่แกงหาง ปานางบ้อน คือขางฟ่าลัน จักจั่นฮ้อง คือฟ่าลวงบน แตกจ้นจ้น เสียงปีบ โฮแซว เมืองนี้ มีสุแนวระบำลำฟ่อน"

 1. สุดยอดขุนเขาแห่งการท่องเที่ยว...ภูกระดึง

          เมื่อเอ่ยถึงภูเขา สิ่งที่ไปกันได้ดีก็คือเรื่องของการท่องเที่ยว เพราะบนภูเขามีสิ่งดึงดูดความสนใจให้ขึ้นไปเที่ยวชมมากมาย อย่างพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ป่าใหญ่ๆ ดอกไม้ป่างามๆ น้ำตกบึ้มๆ หน้าผาและจุดชมวิวสวยๆ ไม่เพียงเท่านั้นอุณหภูมิบนภูเขาทั้งกลางวันกลางคืนก็หนาวเย็น สร้างบรรยากาศโรแมนติก ชวนให้เบียดกายใกล้ชิดสนิดแนบ เหมาะแก่การพาคู่รักหรือเพื่อนร่วมใจไปสนุกสนานเปลี่ยนบรรยากาศ ภูเขาจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตติดอันดับของผู้คนทั่วโลก

          แนวทิวเขาของอีสานประกอบไปด้วยแนวทิวขาเพชรบูรณ์และแนวทิวเขาดงพญาเย็น ที่เป็นเสมือนสันกั้นพรมแดนระหว่างภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน จากที่ราบลุ่มภาคกลางจะขึ้นสู่ที่ราบสูงอีสานก็ต้องทะลุแนวภูเขานี้ขึ้นไปทั้งสิ้น ต่ำลงมาประชิดกับภาคตะวันออกชายฝั่งทะเล คือเทือกเขาสันกำแพง ที่ด้านหนึ่งเป็นจังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว กับอีกด้านหนึ่งก็คือพื้นที่อำเภอโนนสูง เสิงสาง และครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ทิวเขานี้ยังเชื่อมโยงต่อไปถึงพนมดงรัก ซึ่งเป็นแนวกั้นอีสานกับดินแดนกัมพูชาและ สปป. ลาว และทั้งหมดนี้ก็คือ แนวภูเขาที่กั้นอีสานออกเป็นเอกเทศ แทบจะเป็นที่ราบกลมๆ บนที่สูง จากอีสานจะลงมาภาคกลางหรือไปภาคเหนือ อย่างไรเสียก็ต้องเจอภูเขา จะไปตามทางราบๆ ตลอดไม่ได้

          นอกจากนี้ อีสานยังมีแนวเทือกเขาภูพานที่เป็นเส้นตัดขวางแบ่งกั้นให้เกิดเป็นอีสานเหนือ คือจังหวัดอุดรธานี หนองคาย สกลนคร นครพนม และเลย และอีสานใต้ที่มีอยู่อีกมากมายหลายจังหวัด ทั้งหมดเสมือนถูกตัดแยกออกจากกันอย่างเด่าชัดด้วยเทือกเขาภูพานแห่งนี้

          และในบรรดาเทือกภูเขาสูงอีสานหลากหลายนี้ เทือกเขาเพชรบูรณ์ดูจะเป็นเทือกเขาที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุด ก่อให้เกิดภูเขาย่อยๆ ที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีความหลากหลายของสรรพชีวิตสวยงามมากมายหลายแห่ง และหากจะกล่าวกันถึงเรื่องท่องเที่ยวแล้ว ก็เชื่อแน่ว่าไม่มีใครปฏิเสธ หากจะยกตำแหน่งสุดยอดภูเขาท่องเที่ยวให้กับภูกระดึง แห่งเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย

          ภูกระดึง เป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่ที่ไม่เคยเสื่อมคลายมนตร์ขลัง เพราะที่นี่มีทุกๆ อย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ จุดเด่นของภูกระดึงคือความสวยงามของภูเขา สายหมอกหน้าผา พรรณไม้ และสัตว์ป่า กล่าวกันว่า ถ้านักท่องเที่ยวจะเริ่มต้นออกเดินทางท่องธรรมชาติ ภูกระดึงจะเป็นเสมือนโรงเรียนประถมต้นของการท่องเที่ยวภูเขากันเลยที่เดียว

 2. สุดยอดภูผาและผืนป่าอนุรักษ์

          นอกจากภูเขาจะเป็นแหล่งรวมความงดงามน่าท่องเที่ยวแล้ว ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารอีกด้วย กระบวนการจะเริ่มตั้งแต่น้ำฝนที่ประพรมผืนป่าบนภูเขา ต้นไม้มีหน้าที่เก็บกักน้ำนั้นไว้ แล้วค่อยปล่อยลงสู่ลำน้ำเล็กๆ  ที่ไหลลงมาตามความลาดชันของภูเขา รวมกันเป็นลำน้ำสายใหญ่ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั้งไหลลงสู่ที่ราบสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้คนเบื้องล่าง นอกจากบทบาทนี้แล้ว ป่าบนภูเขายังเป็นแหล่งรวมของนานาสรรพชีวิตหลากหลาย ทั้งพืชและสัตว์ รวมถึงนกหายากอีกหลากหลายประเภท ภูเขาจึงเป็นแหล่งที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ต้นน้ำลำธานคงความอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้น สัตว์ป่า นก และพืชหายากนานาพรรณมีโอกาสดำรงพันธุ์ของตนสืบไป

          ในอีสานมีผืนป่าอนุรักษ์ด้วยกันมากมายหลายแห่ง อย่างอุทยานแห่งชาติที่เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งใหม่ล่าสุดของเมืองไทย คืออุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่กินพื้นที่ไม่เฉพาะเพียงภาคอีสาน แต่ยังแผ่ขยายพื้นที่กว้างขวางมาถึงภาคกลางด้านตะวันออกเขาใหญ่ในด้านหนึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำบางปะกงในภาคกลาง และอีกด้านหนึ่งก็เทน้ำไหลลงสู่ลำห้วยต่างๆ ของน้ำมูล น้ำชี นอกจากนั้น อีสานยังมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ซึ่งงดงามด้วยพรรณไม้หายากนานาพรรณ ควรค่าแก่การศึกษา รวมทั้งเขตอุทยานแห่งชาติริงโขงที่น่าสนใจอย่างอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ภูวัว แก่งตะนะ และที่อื่นๆ อีกมากมาย

          ในบรรดาภูผาและผืนป่าอนุรักษ์ทั้งหลายของอีสานนั้น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง คือสุดยอดของภูผาและผืนป่าอนุรักษ์ที่เรา อ.ส.ท. อยากจะยกย่องให้เป็นสุดยอดของอีสานในด้านภูเขาและผืนป่าแห่งการอนุรักษ์

 
 3. สุดยอดสายน้ำฉ่ำเย็น แม่น้ำโขง ชี มูล

          แม่น้ำโขง  คือสุดยอดแม่น้ำของอีสาน ข้อนี้คงไม่มีใครจะปฏิเสธได้ แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำนานาชาติที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกในภาคเหนือที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เป็นระยะทางสั้นๆ ก่อนจะออกจากประเทสไทยที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเดียวกัน จากนั้นแม่น้ำโขงจึงไหลกลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งในแผ่นดินอีสาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จากเชียงคาน แม่น้ำโขงก่อให้เกิดหาดทราบ โขดหิน และเกาะแก่งที่สวยงามมากมายหลากหลาย โดยเฉพาะที่อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย มีที่พักและรีสอร์ตมากหลายได้รับการจัดสร้างขึ้นไว้รองรับนักท่องเที่ยวผู้มาชมความสวยงามของแม่น้ำโขงที่นี่

          สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 1 เป็นสะพานนานาชาติแห่งแรกที่พาดข้ามไปบนแม่น้ำสายนี้ เชื่อมมิตรภาพสองฝั่งโขง ร้อยใจลาว-ไทยน้องพี่เข้าด้วยกัน จากสะพานมิตรภาพๆ แม่น้ำโขงก็ขยายตัวกว้างใหญ่ ทอดผ่านเมืองสองฟากฝั่งที่ล้วนเป็นเมืองสำคัญของสองประเทศ เช่น เมืองบึงกาฬ เมืองบอลิคัน เมืองนครพนม และเมืองท่าแขก จนมาพบกับสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2 จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นแม่น้ำโขงก็ไหลต่อลงไปผ่านเมืองเขมราฐ ก่อให้เกิดแก่งหินที่สวยงามขึ้นอีกหลายชุดก่อนจะไปสุดท้ายออกจากประเทศไทยที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

          ระหว่างทางเดินของแม่น้ำโขงได้ก่อให้เกิดสิ่งดีๆ มากหลาย ประชาชนสองฟากฝั่งใช้แม่น้ำโขงเป็นแหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากินด้านการเกษตรมากมาย ที่หน้าเมืองนครพนมและเมืองเวียงจันทน์เกิดเป็นหาดทรายกว้างใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามของทั้งสองประเทศ งานเทศกาลประเพณีที่เกี่ยวข้องกัยการท่องเที่ยว เช่น ประเพณีแข่งเรือ ประเพณีไหลเรือไฟ และปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้น ก่อให้เกิดการทางท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง


          แม่น้ำมูล  เป็นแม่น้ำสายกว้างใหญ่และยาวที่สุดในอีสาน เกิดขึ้นจากแนวทิวเขาสันกำแพงบางส่วน และทิวเขาพนมดงรักอีกบางส่วน แม่น้ำมูลไหลลงไปกลายเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำโขง ตรงจุดที่แม่น้ำมูลไหลลงแม่น้ำโขงเรียกว่าแม่น้ำสองสี ที่เมืองโขงเจียม

          ส่วน แม่น้ำชี ต้นกำเนิดคือแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ แล้วไหลผ่านไปยังที่ราบตอนกลางของภาคอีสาน จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร แล้วไหลมาลงยังแม่น้ำมูนที่จังหวัดอุบลราชธานี ต่อจากนั้นจึงรวมกันไหลลงแม่น้ำโขงที่ปากมูลอีกต่อหนึ่ง

          ถึงตรงนี้ อ.ส.ท. เราจึงฟันธงไปได้เลยว่า สุดยอดแห่งแม่น้ำอีสาน จะมีแม่น้ำไหนเกินแม่น้ำโขง บวกกับลำน้ำสาขา แม่น้ำมูล แม่น้ำชี เป็นไม่มี...ฟันธง


 4. สุดยอดความงามทุ่งดอกไม้ป่า

          ในบรรพาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลากหลายประเภทในประเทศไทยนั้น ทุ่งดอกไม้ป่านับเป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภทที่เที่ยวได้เที่ยวดี ใครๆ ก็ไปเที่ยวได้ ใครๆ ก็ชอบ แทบไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ วัย ความเก่งกล้าสามารถ หรือแม้กระทั่งความรอบรู้ของนักท่องเที่ยว

          ภาคอีสานมีทุ่งดอกไม้ป่าอันงดงามอยู่จำนวนไม่น้อย โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติต่างๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ ทุ่งกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ ทุ่งดอกไม้ดินที่ป่าสมอปูน อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา-ปราจีนบุรี ทุ่งดอกไม้ดินที่ภูผาเทิบ จังหวัดมุกดาหาร กลุ่มดอกไม้ป่าบนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย กลุ่มดอกไม้ป่าบนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย และทุ่งดอกไม้ดินที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบนราชธานี เป็นต้น 

          นอกจากทุ่งดอกไม้ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีนี้แล้ว ยังมีทุ่งดอกไม้ประเภทขึ้นเองตามหัวไร่ปลายนา และทุ่งดอกไม้ปลูกเพื่อเอาน้ำมันอีกบางชนิด ที่ในฤดูกาลก็สวยงามบานสะพรั่งน่าไปเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่งอีกหลายประเภท เช่น ทุ่งดอกหญาบัว ดอกปอเทือง และทุ่งดอกทานตะวัน แถบรอยต่อจังหวัดเพชรบูรณ์และลพบุรี เป็นต้น


          และจากทั้งหมดนี้ อ.ส.ท. ขอฟันธงว่า ทุ่งกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ และ ทุ่งดอกไม้ดินบนลานหิน อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบนราชธานี มีความเป็นสุดยอดที่พอๆ กัน เนื่องเพราะบนลานดอกไม้ทั้งสองแห่งนั้น ล้วนมีการจัดการเพื่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี การเข้าชมเป็นเระเบียบเรียบร้อย ขนาดของทุ่งดอกไม้เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ เมื่อถึงฤดูกาลมีดอกไม้จำนวนมากผลิบานแน่นขนัด เที่ยวได้ไม่เบื่อ อยู่ในพื้นที่ที่มีความสะดวกในการเข้าถึงได้เป็นอย่างดี มีที่พักทั้งของภาครัฐและเอกชนบริการพร้อมพรั่ง อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ รอรองรับนักท่องเที่ยวให้สามารถไปต่อยอดในที่อื่นๆ ได้อีก


 5. สุดยอดอีสานก่อนประวัติศาสตร์

          เหตุการณ์สนุกๆ อย่างเช่น การต่อสู้กันของไดโนเสาร์ที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ มีชื่อภาษาอังกฤษเรียกยากๆ นั้น เป็นเหตุการณ์ที่นำมาจำลองและจัดแสดงสาธิต เป็นการให้ความรู้ความบันเทิง และได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากมายจนกลายเป็นจุดเด่นหนึ่งของการท่องเที่ยวอีสานไปแล้ว

          ประวัติศาสตร์ของอีสานเริ่มขึ้นตั้งแต่ยุกก่อนประวัติศาสตร์ มีการค้นพบซากกระดูกของไดโนเสาร์หลากพันธุ์หลายตระกูล ทั้งชนิดเนื้อและกินพืช โดยเฉพาะในเขตภาคอีสานตอนกลาง อันเป็นพื้นที่แถบเทืองเขาภูพาน จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร ขอนแก่น นอกจากซากไดโนเสาร์ ยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ภาพเขียนสีที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น


          จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็คลี่คลายมาสู่ยุคแห่งตำนาน เรื่องราวของเมืองโบราณต่างๆ ที่ถูกทับซ้อนอยู่ด้วยเมืองสมัยใหม่ นิทานในประวัติศาสตร์อย่างอุสา-บารสท้าวปาจิตต์กับนางอรพิมพ์ และสังข์ศิลป์ไชย ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเป็นบ้านเป็นเมืองในยุคก่อนของอีสาน ก่อนจะถึงช่วงแห่งการเผยแพร่เข้ามาของอารยธรรมขอม และมาสุดปลายทางที่การทิ้งร้างบ้านเมืองต่างๆ ออกไปด้วยเหตุผลที่ยังคงลี้ลับ ก่อนที่กลุ่มชนไทยลาวจะอพยพโยกย้ายกันข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาอยู่อาศัยในแผ่นดินที่เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนหน้าแล้ว และพลิกฟื้นผืนแผ่นดินอีสานให้กลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง


          ความเป็นดินแดนแห่งไดโนเสาร์นับว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญของการท่องเที่ยวอีสานทำให้เกิดพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ขึ้นมากมายหลายแห่ง แต่ละแห่งมีการจัดแสดงที่ทันสมัยสวยงาม ถ้าจะเทียบกับการค้นพบภาพวาดที่ผาแต้ม หรือลวดลายหม้อไหบ้านเชียงนับว่ามีจุดเด่นกันคนละด้าน แต่กับนักท่องเที่ยวชาวไทย ยังนับว่าไดโนเสาร์ได้เปรียบกว่า เพราะฉะนั้น ไดโนเสาร์จึงเป็นสุดยอดที่เหนือกว่าเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ใดๆ ของอีสานครับ

 6. สุดยอดอลังการแห่งปราสาทหิน

          เขมรกับไทยมีความสัมพันธ์กันมาช้านาน มีเรื่องเล่าว่า ถ้าไม่มีเขมร คนไทยก็จะหายใจไม่ได้และเดินไปไหนไม่ถูก เพราะคำว่าจมูกและคำว่าเดินมาจากภาษาเขมร ดังนั้น การมีปราสาทหินอารยธรรมขอมมากมายในดินแดนไทยจึงนับเป็นเรื่องปรกติ ไม่มีอะไรแปลกประหลาด

          ปราสาทหินนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอีสาน และมีจำนวนมากมาย ตั้งแต่ใต้สุดของจังหวัดอุบลราชธานี ไปจนถึงเหนือสุดที่พระธาตุนารายณ์เจงเวง จังหวัดสกลนคร ในบรรดาปราสาทหินอารยธรรมขอมจำนวนมากมายเหล่านี้ อาจจำแนกออกได้เป็นสิ่งก่อสร้าง 1 ประเภทใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ ศาสนสถาน ธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟที่สร้างไว้เพื่อเป็นที่พำนักของคนเดินทาง และอโรคยศาลาหรือโรงพยาบาล ที่มีแพทย์คือ พราหมณ์ผู้ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นหมอ

          ปราสาทหินอันเป็นที่รู้จักในภาคอีสานและเป็นสุดยอดในด้านต่างๆ ตัวอย่างเช่น ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทหินทรายสีชมพูบนปากปล่องภูเขาไฟแห่งเมืองบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย ปราสาทที่เป็นดังตันแบบแห่งปราสาทหลายแห่งในเมืองเสียมเรียบ ปราสาทตาเมือน ที่มีทั้งอโรคยศาลาและธรรมศาลาครบครัน อยู่ใกล้ๆ ปราสาทหินพนมวัน ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ปราสาทสระกำแพงน้อย และปราสาทศรีขรภูมิ เป็นต้น


          และถ้าจะให้ยกปราสาทใดเป็นปราสาทหินสุดยอดอีสาน อ.ส.ท. เราขอยกให้ปราสาทพนมรุ้งเป็นปราสาทหินสุดยอดอีสานของไทย เหตุผลก็คือ สุดยอดทั้งความสวยงามทางด้านศิลปะสถาปัตยกรรม ตลอดจนมีสภาพที่ตั้งที่โดดเด่นท้าทาย คือตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงตามคติจัตรวาล อีกทั้งตัวโบราณสถานก็ได้รับการบูรณะให้มีสภาพดี ให้นักท่องเที่ยวพอได้เห็นค้ารางแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เป็นการเสริมจินตนาการในการเที่ยวชมได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น

 7. สุดยอดพระบรมธาตุงวดงามดังนิรมิต

          ไม่ว่าขอมจะเป็นเขมรหรือไม่ แต่ศาสนสถานของขอมก็สร้างขึ้นด้วยหิน ส่วนไทยและลาวเราสร้างวัดและเจดีย์ด้วยอิฐและปูน ดังนั้น ในอีสานนอกจากจะมีโบราณสถานกลุ่มปราสาทหิน อันแสดงให้เห็นถึงอารยธรรมขอมที่แผ่กว้างไปทั่วแล้ว อีสานก็ยังมีอารยธรรมไทยลาวที่แผ่ขยายออกไปจนเต็มที่เช่นเดียวกัน วัดและส่วนประกอบสำคัญของวัด คือเจดีย์ ที่ถูกเรียกเป็นภาษาอีสานว่าธาตุ มีมากมายหลายแห่งในอีสานโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองเก่าแก่มาแต่โบราณกาล

          พระธาตุสำคัญของอีสานอันเป็นที่รู้จัก ได้แก่ พระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม พระธาตุก่องข้าวน้อย จังหวัดยโสธร พระธาตุบังพวน จังหวัดหนองคาย พระธาตุศรีสองรัก จังหวัดเลย และพระธาตุยาคู จังหวัดมหาสารคาม เป็นต้น

          
ในจำนวนพระธาตุทั้งหลายแห่งนี้ ที่ถึงพร้อมด้วยความสวยงามของศิลปะอีสาน มีความใหญ่โตมโหฬารทรงคุณค่า อีกทั้งมีความสำคัยยิ่งทางจิตวิญญาณแล้ว ก็คงไม่มีธาตุแห่งไหนเกินองค์พระธาตุพนม ซึ่งไม่เพียงแต่พระธาตุพนมจะได้รับการเคารพนบนอบโดยคนไทยอีสานเราฝั่งนี้เท่านั้น แม้ในคราวงานนมัสการพระธาตุในทุกวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3 ชาวลาวจากอีกฟากฝั่งโขงก็ยังต่างพากันข้ามประเทศมาร่วมงานนมัสการองค์พระธาตุพนมนี้กันอย่างครึกครื้น

 8. สุดยอดชาวเผ่าอีสาน สีสันของผู้คนและวัฒนธรรมประเพณี

          คนอีสานนอกจากจะมีชาวอีสานลาว ซึ่งเป็นกลุ่มชนกลุ่มใหญ่ที่สุด เป็นเจ้าของวัฒนธรรมประเพณีซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของภูมิภาคแล้ว อีสานก็ยังมีกลุ่มชนต่างๆ อีกหลากหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น กลุ่มชาวผู้ไทยหรือไทยดำ กลุ่มชาวอีสานเขมร กลุ่มชาวส่วย กลุ่มชาวมอญเขมรโบราณ เช่น ชาวบนหรือญักุร ชาวข่าหรือขมุ กลุ่มชาวไทยย้อ กลุ่มชาวไทยกระโส้ ตลอดจนกลุ่มชาวไทยโคราช เป็นต้น

          กลุ่มชาวไทยต่างๆ เหล่านี้แหละ ที่เป็นสีสันและเป็นเจ้าของกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณีในแง่มุมต่าง ๆ  ทั้งงานศิลปหัตถกรรม อาหาร ภาษา บทเพลง บทกวีต่างๆ อีกมากมายหลากหลาย ในแต่ละชาวเผ่าต่างก็มีรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเองโดยเฉพาะ และใช้รูปแบบกลางๆ ที่เป็นของภูมิภาคอีสานร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ในแทบทุกชนเผ่าในภาคอีสานต่างก็มีประเพณีบายศรีสู่ขวัญเป็นประเพณีร่วมกัน แต่รายละเอียดในพิธีกรรมจะแตกต่างกันไปในแต่ละชนเผ่า ตัวอย่างเช่น การต้อนรับแขกเหรื่อด้วยการดวลเหล้าจากไห ชาวลาวทั่วไปจะใช้คำเรียกว่าดูดอุ แต่ชาวผู้ไทยจะเรียกว่าชนช้าง เป็นต้น และอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ บทเพลงหรือบทกวีของชาวผู้ไทยที่มีแนวทางฉันทลักษณ์และทำนองเป็นของตนเอง แต่ภาษาที่ใช้ในเพลงก็อาจจะใช้ภาษาที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาจจะเป็นภาษาผู้ไทยหรือไทยอีสานรวมๆ กันไปก็ได้

          และชาวเผ่าที่เรา อ.ส.ท. ขอยกย่องให้เป็นสุดยอดของอีสาน นอกจากชาวไทยลาวที่มีจำนวนมากที่สุด มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพื้นฐานสำคัญของวัฒนธรรมประเพณีอีสานแล้ว ชาวผู้ไทยและชาวไทยเขมรต่างก็มีบทบาทและมีวัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง เป็นสีสันที่ช่วยกันทำให้อีสานเป็นแผ่นดินแห่งความเจิดจ้าและร่ำรวยด้วยทรัพยากรแห่งศิลปวัฒนธรรมโดดเด่นมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


Credit : http://travel.kapook.com/view2525.html

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รูปแบบของฐานข้อมูล


1.ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (hierarchical data model)

คิดขึ้นโดยบริษัทไอบีเอ็ม เป็นฐานข้อมูลที่นำเสนอข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในรูปแบบของ โครงสร้างต้นไม้ (tree structure) เป็นโครงสร้างลักษณะคล้ายต้นไม้เป็นลำดับชั้น ซึ่งแตกออกเป็นกิ่งก้านสาขา ผู้ที่คิดค้นฐานข้อมูลแบบนี้คือ North American Rockwell เพื่อต้องการให้เป็นฐานข้อมูลที่สมารถกำจัดความซ้ำซ้อน (Data Redundancy) โดยใช้แนวความคิดของโปรแกรมที่ชื่อว่า Generalized Update Access Method (GUAM)

มีลักษณะเป็นแผนภูมิต้นไม้ (Tree) ความสัมพันธ์เป็นแบบพ่อกับลูก (Parent/Child Relation) ลูกค้าแต่ละคนจะไม่สามารถได้รับบริการจากพนักงานขายมากกว่าหนึ่งคนได้ สินค้าแต่ละชนิดก็จะถูกซื้อ โดยลูกค้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ลักษณะของฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นมีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง  (one-to-one) และหนึ่งต่อกลุ่ม  (one-to-many) แต่ไม่มีความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (many-to-many)


2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย  (The Network Database Model)
ลักษณะโครงสร้างระบบฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะมีโครงสร้างของข้อมูลแต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสัมพันธ์คล้ายร่างแห โดยมีลักษณะโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างแบบลำดับชั้น มีข้อแตกต่างที่ว่าโครงสร้างแบบเครือข่ายสามารถยินยอมให้ระดับชั้นที่อยู่เหนือกว่าจะมีได้หลายแฟ้มข้อมูลถึงแม้ว่าระดับชั้นถัดลงมาจะมีเพียงแฟ้มข้อมูลเดียว เปรียบเสมือนมีความสัมพันธ์แบบลูกจ้างกับงานที่ทำ โดยงานชิ้นหนึ่งอาจทำโดยลูกจ้างหลายคน (m ต่อ n) ดังนี้


3. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Model)
เป็นฐานข้อมูลที่ใช้โมเดลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Model) เนื่องด้วยแนวคิดของแบบจำลองแบบนี้มีลักษณะที่คนใช้กันทั่วกล่าวคือมีการเก็บเป็นตาราง ทำให้ง่ายต่อการเข้าใจและการประยุกต์ใช้งาน ด้วยเหตุนี้ ระบบฐานข้อมูลแบบนี้จึงที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในแง่ของ entity แบบจำลองแบบนี้คือ แฟ้มข้อมูลในรูปตาราง และ attribute ก็เปรียบเหมือนเขตข้อมูล  ส่วนความสัมพันธ์คือความสัมพันธ์ระหว่าง entity   ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ การเก็บข้อมูลในรูปของตาราง (table) ในแต่ละตารางแบ่งออกเป็นแถวๆ และในแต่ละแถวจะแบ่งเป็นคอลัมน์ (Column)


4. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ  (The Object-Oriented  Database Model)
ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น แบบเครือข่าย และฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ล้วนจัดเก็บเฉพาะข้อมูล ไว้ในฐานข้อมูล ส่วนชุดคำสั่งที่ใช้ในการดำเนินการกับฐานข้อมูลจะจัดเก็บไว้ในซอฟแวร์ระบบจัดการฐานข้อมูลแยกต่างหาก แต่ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ จัดเก็บทั้งข้อมูลและชุดคำสั่งไว้ด้วยกัน จึงสามารถใช้งานร่วมกันได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ฐานข้อมูลชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บและจัดการ แต่มีการนำมาใช้งานน้อยกว่าฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ เนื่องจากมีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่า


5. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ-สัมพันธ์ (The Object-Relational  Database Model)
สร้างขึ้นเพื่อให้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์สามารถเพิ่มคุณสมบัติของแบบจำลองเชิงวัตถุเข้าไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ในด้านการออกแบบข้อมูลใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงระบบฐานข้อมูลเดิม โดยสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากแบบจำลองฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ สามารถสร้างชนิดข้อมูลที่กำหนดเองได้



Credit : 203.130.141.199/NewDBMS/db05.htm

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

UTM Zone ในประเทศไทย



ระบบ UNIVERSAL TRANSVERSE MERCATORS : UTM 

หรือระบบพิกัดฉาก ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่
ทั้ง หมดบนโลก ระหว่าง Latitude  84 องศาเหนือ และ Latitude  84 องศาใต้ มีหน่วยในการวัดเป็นเมตรพื้นที่โซนจะแบ่งตามระยะองศา Latitude เรียกว่า Zone

การแบ่ง Zone ในระบบ UTM

พื้นที่โลกจะถูกแบ่งออกเป็น 60 โซน ตามองศา Longitude ในแต่ละโซนจะมีระยะห่างโซนละ 
6 องศาLatitude จะเท่ากับ 600,000 เมตร หรือ 600 กิโลเมตร  โซน ที่ 1 จะอยู่ระหว่าง   Longitude ที่ 180 องศาตะวันตก ถึง Longitude ที่ 174 องศาตะวันตก และมีเมอร์ริเดียนกลาง (CM) คือเส้น Longitude ที่ 177 องศาตะวันตก  ค่าความผิดพลาดไปทางทิศตะวันออก(False easting) เท่ากับ 500,000 เมตร ซึ่งค่า False easting นี้จะเท่ากันทุกโซน  โซนที่ 2,3,4,5....,60 จะอยู่ถัดไปทางตะวันออก ห่างกันโซนละ 6 องศา Longitude ซึ่งโซนสุดท้ายคือโซนที่ 60 จะอยู่ระหว่าง   Longitude ที่ 174 องศาตะวันออก ถึง Longitude ที่ 180 องศาตะวันออก

UTM Zone ในประเทศไทย


ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในระหว่าง 2 โซน ได้แก่ Zone 47 และ Zone 48 
- Zone 47 จะเริ่มต้นที่ Longitude ที่ 96 องศาตะวันออก และสิ้นสุดที่ Longitude ที่ 102 องศาตะวันออก มีเมอร์ริเดียนกลาง (CM) Longitude ที่ 99 องศาตะวันออก ค่าความผิดพลาดไปทาง
ทิศตะวันออก(False easting) เท่ากับ 500,000 เมตร 

- Zone 48 จะเริ่มต้นที่ Longitude ที่ 102 องศาตะวันออก และสิ้นสุดที่ Longitude ที่ 108 องศาตะวันออก มีเมอร์ริเดียนกลาง (CM) Longitude ที่ 105 องศาตะวันออก ค่าความผิดพลาดไปทางทิศตะวันออก(False easting) เท่ากับ 500,000 เมตร 

UTM ThailandUTM Zone 47-48
พื้นที่ Zone 47 และ Zone 48

zone 47-48

จังหวัดที่อยู่ระหว่างโซน 47 และโซน 48


จังหวัดที่อยู่ระหว่างโซน 47 และโซน 48
1.จันทบุรี
2.ปราจีนบุรี
3.สระแก้ว
4.นครราชสีมา
5.ชัยภูมิ
6.ขอนแก่น
7.เลย
8.หนองบัวลำภู (บางส่วน)
9.นราธิวาส (บางส่วน)

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ละติจูด ลองจิจูด

world01thai“เส้นรุ้ง” กับ “เส้นแวง” เป็นคำที่หลายๆ ท่านเคยเรียนในสมัยอยู่โรงเรียน ท่องคำว่า “รุ้งตะแคง แวงตั้ง” และความหมายที่ตรงกันคือ เส้นรุ้งคือละติจูด และเส้นแวงคือลองจิจูด

ราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติศัพท์และให้รายละเอียดของละติจูด ลองจิจูด ไว้ในพจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ไว้ดังนี้
ละติจูด (Latitude) เป็นระยะทางเชิงมุมที่วัดไปตามขอบเมริเดียนซึ่งผ่านGlobe4Kids12532ตำบลที่ตรวจ โดยนับ 0 (ศูนย์) องศา จากเส้นศูนย์สูตรไปทางเหนือหรือใต้ จนถึง 90 องศาที่ขั้วโลกทั้งสอง หรือเป็นมุมแนวตั้งที่ศูนย์กลางโลกระหว่างเส้นรัศมีของโลกที่ผ่านจุดซึ่งเส้นเมริเดียนตัดเส้นศูนย์สูตรกับเส้นรัศมีที่ผ่านตำบลที่ตรวจ
ลองจิจูด (Longitude) เป็นระยะทางเชิงมุมระหว่างเมริเดียนกรีนิช กับเมริเดียนซึ่งผ่านตำบลที่ตรวจซึ่งวัดไปตามขอบของเส้นศูนย์สูตร หรือขอบของเส้นขนานละติจูด หรือเป็นมุมแนวระดับที่แกนโลกในระหว่างพื้นของเมริเดียนกรนิชกับพื้นของเมริเดียนซึ่งผ่านตำบลที่ตรวจ ตามปรกติวัดเป็น องศา ลิปดา และฟิลิปดา โดยนับ 0 (ศูนย์) องศาจากเมริเดียนกรนิชจนถึง 180 องศาไปทางตะวันออกหรือตะวันตกของเมริเดียนกรีนิช
เส้นเมริเดียน และเมริเดียนกรีนิช มีความหมายว่า
เส้นเมริเดียน (meridian) คือ ขอบของครึ่งวงกลมใหญ่ที่ผ่านขั้วเหนือ และขั้วใต้ของโลก ใช้เป็นเครื่องกำหนดแนวเหนือ-ใต้ของโลก ซึ่งเรียกว่าเหนือจริง ใต้จริง หรือเหนือภูมิศาสตร์ ใต้ภูมิศาสตร์ ตำแหน่งเส้นเมริเดียนบนผิวโลกแต่ละเส้นกำหนดได้ด้วยค่าลองจิจูดของเมริเดียนนั้น
เมริเดียนกรนิช (Greenwich meridian) คือเส้นเมริเดียนที่ผ่านหอดูดาว ณ ตำบลกรีนิช กรุงลอนดอน อังกฤษ ใช้เป็นศูนย์ในการกำหนดค่าต่อไปนี้ 1) พิกัดภูมิศาสตร์ เป็นจุดตั้งต้นของค่าลองจิจูด ซึ่งใช้ประกอบกับค่าละติจูดในการกำหนดตำแหน่งของสถานที่ต่างๆ บนพื้นผิวโลก โดยเมริเดียนกรีนิชนี้จะมีค่าลองจิจูด 0 (ศูนย์) องศา  2) เวลามาตรฐานสากล เวลาของท้องถิ่นที่อยู่ห่างจากเมริเดียนกรีนิชไปทางตะวันออก 1 องศา จะเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 4 นาที แต่ถ้าอยู่ห่างไปทางตะวันตก 1 องศา จะช้ากว่าเวลาที่กรีนิช 4 นาที

Credit : www.gis2me.com


วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำทำนายจากอดีต ถึงโลกปัจจุบัน ของ “เอดิสัน”



“เอดิสัน” เป็นนักประดิษฐ์ที่ชาวโลกรู้จักกันดี ในฐานะผู้คิดค้นหลอดไฟได้เป็นคนแรกของโลก แล้วเขายังมีนวัตกรรมอันเป็นผลงานสร้างสรรค์อีกมากมาย และในช่วงเวลา 84 ปีที่เขายังมีลมหายใจ เอดิสันยังได้มองไกลถึงนวัตกรรมของเขา ว่าจะทำให้โลกอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ในวันเกิดครบรอบปีที่ 164 ของ "โทมัส เอดิสัน" (Thomas Edison) เมื่อวันที่ 11 ก.พ.2011 ที่ผ่านมา “เนชันแนลจีโอกราฟิก” จึงได้นำเรากลับไปย้อนทบทวน “คำคาดการณ์” ของเอดิสัน เมื่อครั้งที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ลงนิตยสาร “คอสโมโปลิแทน” (Cosmopolitan : ที่สมัยนั้นยังเป็นนิตยสารทั่วไป) โดยเป็นการรวบรวม และอธิบายขยายความเพิ่มเติมจากหนังสือ “เอดิสัน : ชีวิตแห่งการคิดค้น” (Edison: A Life of Invention)

ไปดูกันกว่า คำทำนายของ “เอดิสัน” เมื่อ ปี 1911 มีอะไรเกิดขึ้นจริงแล้วบ้างในปี 2011

หนังสือจะทำจากโลหะ

เอดิสันได้จินตนาการว่า หนังสือในอนาคตจะไม่ใช้กระดาษ หากแต่เป็นโลหะนิเกิลแทน และหนังสือนิเกิลนี้จะมีราคาถูกกว่า แข็งแรงกว่า และยังเป็นวัสดุที่ยืดหยุ่นได้มากกว่ากระดาษ

แน่นอนว่าเอดิสันไม่มีทางรู้จัก “หมึกอิเล็กทรอนิกส์” (e-ink) ที่กลายเป็นตัวอักษรแห่งโลกดิจิทัล แต่เขาก็ได้มองไกลไปเกินกว่าหนังสือที่เขาถือไว้ในมือเสียอีก และนิเกิลก็ใช้ทำสแตนเลสสตีลเป็นมันวาว เหมือนอุปกรณ์อิเล็กทริกส์ ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ที่เราแทบจะใช้แทนหนังสือกันไปแล้ว

เอดิสันบอกว่าเราไม่ต้องใช้กระดาษทำหนังสือกันแล้ว (tidbits.com)

     
       เครื่องยนต์จะมาแทนคนงาน

ในปี 1911 เอดิสันบอกคอสโมโปลิแทนว่า เครื่องจักรกลทั้งหลาย จะสามารถสร้างและประกอบสิ่งของต่างๆ ทดแทนการใช้มือคนได้อย่างแน่นอน

“วันที่ช่างเย็บผ้าตามท้องถนน จะนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งด้นตะเข็บ กำลังจะหมดลง” เขาทำนาย และเห็นว่า เครื่องจักรกลจะเข้าไปแทนที่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งก็เป็นอย่างภาพที่เราเห็นกันในโลกยุคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

โทรศัพท์จะฉลาดขึ้น

แม้เอดิสันจะไม่ใช่ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์ แต่เขาก็พัฒนาโทรเลขแบบใช้เสียงขึ้น (phonograph) อันเป็นพื้นฐานให้นำไปสู่สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า “โทรศัพท์” และเมื่อนั้นเอดิสันก็เชื่อว่า ในอนาคตจะมีการประยุกต์ใช้งานโทรศัพท์ได้อีกหลากหลายมากมาย

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีทางด้านโทรศัพท์ ที่พัฒนาได้ก้าวไกลจนถึงทุกวันนี้ และจะก้าวไกลไปกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ก็เพราะพื้นฐานที่มาจากโทรเลขแบบเสียงของเอดิสันนั่นเอง

โลกนี้จะมีแต่คอนกรีต

ผลจากการการสร้างเตาเผาแบบต่อเนื่อง ทำให้เอดิสันได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมซีเม็นต์ จนนำไปสู่การใช้คอนกรีตอย่างแพร่หลาย ตอนนั้น เอดิสันบอกว่าผู้คนเสียสติ ที่สร้างตึกด้วยก้อนอิฐประกอบเข้ากับแท่งเหล็ก ทำไมถึงไม่ใช้คอนกรีตเทให้เข้ากับโครงสร้างเหล็กหรือเหล็กเส้น

เขายังทำนายอีกว่า หลังจากปี 1941 สิ่งปลูกสร้างทั้งหลายจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์สวยหรู หรือตึกสูงระฟ้า คอนกรีตจะทำให้โครงสร้างเหล่านี้ดำรงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน

ในช่วงปี 1920 ตึกระฟ้าทั้งหลายก็ได้ใช้คอนกรีตเสริมเหล็กจริง อย่างที่เอดิสันว่าไว้ แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เหล่าสถาปนิกยุคใหม่นิยมออกแบบตึกสูง ที่มีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นกรอบเหล็กติดผนังกระจก มากกว่าคอนกรีตเสริมเหล็กไปเสียแล้ว

เฟอร์นิเจอร์ไม้จะหายไป

เอดิสันบอกคอสโมโปลิแทนว่า เฟอร์นิเจอร์เหล็กจะถูกนำมาประดับบ้าน วางแทนที่เฟอร์นิเจอร์ไม้ ขณะที่สภาพสังคมในตอนนั้น แทบนึกถึงภาพแท่งเหล็กที่ตั้งประดับบ้านไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

“เด็กๆ ในรุ่นถัดไป จะได้นั่งเก้าอี้สูง ทำจากเหล็กกล้า และรับประทานอาหารบนโต๊ะเหล็กเช่นกัน พวกเขาจะไม่รู้จักเฟอร์นิเจอร์ไม้ นั่นก็เพราะอัลลอยมีน้ำหนักเบาและถูกกว่าไม้ และยังนำไปทำลวดลายได้ง่ายกว่าไม้มะฮอกานีหรือไม้ชนิดอื่นๆ” เอดิสันกล่าวไว้

อีกทั้งในช่วงปี 1920 - 1930 เหล่าผู้ผลิต ก็เริ่มทดลองสร้างเฟอร์นิเจอร์เหล็กให้กับสถานที่ทำงานต่างๆ มากขึ้น แม้ว่าตามบ้านจะยังคงใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้อย่างแพร่หลายก็ตาม

ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนรถไฟแทนไอน้ำ

รถจักรไอน้ำเพิ่งก่อกำเนิดก่อนเอดิสันเกิดเพียงครึ่งศตวรรษ แต่เอดิสันในวัยหนุ่มกลับบอกว่า ในไม่ช้ารถจักรไอน้ำจะหมดไป และเทคโนโลยีกังหันน้ำจะช่วยสร้างกระแสไฟฟ้าให้วิ่งบนรางรถไฟได้ และจะก้าวข้ามไปจากยุคไอน้ำ

แค่เพียงศตวรรษเดียว ที่เอดิสันทำนายไว้ เราก็ได้ประจักษ์ชัดว่ารถจักรไอน้ำได้สิ้นสุดลงแล้ว แถมยังมีรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าเข้ามาแทนที่

     
       ยุคทองของการเล่นแร่แปรธาตุ

เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุมีความพยายามที่จะสร้างทองคำเทียมมาตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม แม้แต่เอดิสันก็ให้ความสนใจ ซึ่งเขาพูดถึงสิ่งนี้ ก่อนจะมีอุตสาหกรรมผลิตทองในสหรัฐฯ เสียอีก

เอดิสันเกือบทายถูกว่า เราจะสามารถสร้างทองได้เอง เพราะมีนักวิทยาศาสตร์สามารถจัดเรียงอะตอม จนเป็นทองสังเคราะห์ได้สำเร็จในห้องปฏิบัติการ

ทว่า การสร้างทองเทียมได้ก็หาใช่เรื่องน่าตื่นเต้น เพราะโลกยุคปัจจุบันเราสามารถสร้างวัตถุเทียมขึ้นได้อีกมากมายหลายชนิด

เทคโนโลยีทำชีวิตไม่มีจน

“ความยากจนนั้น คือโลกที่ผู้คนใช้แต่มือ ทว่าตอนนี้มนุษย์เริ่มใช้สมองของพวกเขาแล้ว ดังนั้นความยากจนกำลังจะหมดลง” มุมมองของโทมัส เอดิสันต่อความยากจน โดยเขาเชื่อว่านับจากยุคของเขา ที่มีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมกันอย่างมากมาย จะส่งผลให้ความยากจนค่อยๆ หมดไป

เอดิสันมองประโยชน์ของเทคโนโลยีว่า จะช่วยสร้างความก้าวหน้าทางธุรกิจ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ทั้งความร่ำรวยและความดีงาม อันจะทำให้ความยากจนหดหายไป ซึ่งยังไม่ใช่โลกในปี 2011 เป็นแน่แท้

คำทำนายของเอดิสันมองจากพื้นฐานสังคมในยุคนั้น และวิเคราะห์แนวโน้มอนาคต ที่อาจจะไปถึงแล้ว หรือยังไปไม่ถึง

แต่ที่แน่ๆ มุมมองของเขาในฐานะนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก ที่มีผลงานจดสิทธิบัตรนับพันชิ้น ในวัย 50 ต้นๆ เขาได้กลายเป็นเมธีนวัตกร นักคิดค้นสำคัญของชาติอเมริกัน (และโลก) ซึ่งในยุคของเขานั้นมีความศรัทธาต่อการใช้เทคโนโลยีสร้างความก้าวหน้า ผลงานของเขาหลายสิ่ง ที่ยังคงกลายเป็นรากฐานและมีอิทธิพลต่อนวัตกรรมในยุคปัจจุบัน.


Credit : www.manager.co.th/science