หัวใจของภาคการเกษตร คือน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกในรูปแบบใดก็ตาม การเพาะปลูกจะดีหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของแหล่งน้ำที่ใช้เป็นอย่างมาก การติดตามสถานการณ์น้ำของประเทศ และโครงสร้างการเปลี่ยนแปลงน้ำในโลก ซึ่งล้วนมีผลกระทบกับเราทั้งสิ้น ถือเป็นการเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทาง และสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี ปริมาณน้ำในโลก
ถึงแม้ว่าน้ำครอบครองพื้นผิวโลกไว้ถึงสองในสามส่วน แต่ร้อยละ 97 ของน้ำในโลกเป็นน้ำทะเลในมหาสมุทร เพียงร้อยละ 3 เท่านั้นที่เป็นน้ำจืด ในร้อยละ 3 นี้ แบ่งเป็นน้ำแข็งที่ขั้วโลกและกลาเซียร์ ร้อยละ 2.4 ประมาณร้อยละ 0.5 เป็นน้ำใต้ดิน ส่วนน้ำจืดในแม่น้ำและแหล่งน้ำผิวดินทั้งหลายที่เราใช้กันอยู่ คิดเป็นปริมาณน้ำเพียงร้อยละ 0.01 ของน้ำในโลกเท่านั้น
เราไม่สามารถใช้น้ำทั้งหมดที่ตกลงสู่พื้นดินได้ น้ำจำนวนหนึ่งระเหยกลับไปในบรรยากาศ ส่วนหนึ่งกระจายอยู่ตามโพรง ตามช่องว่างของหินและดิน มีน้ำเพียงบางส่วนที่ไหลรวมลงสู่แหล่งน้ำทั้งบนดินและใต้ดิน ปริมาณน้ำที่ใช้ได้ดังกล่าวยังถูกปนเปื้อนตามกระบวนการตามธรรมชาติ และจากของเสียต่างๆที่มนุษย์ก่อขึ้น
น้ำที่เราใช้สอยได้ มีไม่มากอย่างที่คิด
เมื่อโลกร้อนขึ้น แหล่งน้ำลดลง
ภาวะเรือนกระจกเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นในอัตราก้าวหน้า จนสังเกตเห็นได้ชัดในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมา
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่ง มีปริมาณสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ นับตั้งแต่เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา
ก๊าซเรือนกระจกมีคุณสมบัติยอมให้รังสีจากดวงอาทิตย์ทะลุผ่านเข้ามาได้ แต่เมื่อกระทบกับผิวโลก กลายเป็นคลื่นความร้อนแล้ว จะไม่สามารถผ่านชั้นก๊าซเรือนกระจกออกไปได้ ความร้อนจึงถูกกักเก็บไว้ในชั้นบรรยากาศของโลก
การที่บรรยากาศของโลกร้อนขึ้นนี้ ส่งผลต่อระบบลมและวัฏจักรของน้ำ ปรากฏการณ์ที่ตามมาก็คือ เกิดฝนตกมากขึ้นในบริเวณใกล้ฝั่งทะเล แต่ในบริเวณตอนกลางทวีปจะมีความแห้งแล้งมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนี้เป็นปรากฏการณ์ในระดับโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมองการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโดยรวมแล้ว จะพบว่าอุณหภูมิในประเทศไทยตอนบนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จำนวนวันที่ร้อนจัดหรือวันที่มีอุณภูมิสูงเกินกว่า 33 องศาเซลเซียส มีแนวโน้มมากขึ้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ฤดูร้อนมีแนวโน้มที่จะยาวนานขึ้น
ผลจากการคำนวณได้แสดงให้เห็นว่า ภาคเหนือตอนบนโดยเฉพาะฝั่งตะวันตก มีแนวโน้มที่ฝนจะลดลง ส่วนภาคอีสานมีแนวโน้มที่จะมีฝนมากขึ้นบ้างเล็กน้อยในตอนล่างของภาค
ในช่วงกลางศตวรรษ เมื่อปริมาณฝนในบริเวณภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกลดน้อยลง ก็อาจส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่เขื่อนภูมิพลลดลงด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาในอีกหลายรูปแบบ
ส่วนปริมาณฝนที่เพิ่มสูงขึ้นในฤดูฝนที่ยาวนานเท่าเดิมในภาคอีสานในช่วงศตวรรษนี้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาภัยน้ำท่วมในเขตลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูลที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้การเปลี่ยนรูปแบบของฤดูฝน ถึงแม้ว่าปริมาณน้ำฝนจะเท่าเดิมหรือสูงขึ้น ก็จะส่งผลกระทบถึงการเพะปลูกอีกด้วย
โลกมีโอกาสก้าวเข้าสู่ช่วงวิกฤตในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า เมื่อความต้องการน้ำมีมากกว่าปริมาณน้ำที่ใช้ได้ หากอัตราการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำและการก่อน้ำเสียยังเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้
ที่มา : "อาหารและน้ำ ความอยู่รอดและความสุขที่ยั่งยืน" โดยมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
|
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ปริมาณน้ำในโลก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น